ตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่าเข้าสู่ปีที่ 8 ของ Bull Market
ซึ่งถือว่าเป็น Bull Market ที่ยาว การที่ S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นและเป็น Low-Volatility/Low Volume (ความผันผวนน้อยและปริมาณการซื้อขายน้อย) เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ บ่งบอกถึงภาวะอ่อนแอของตลาดหุ้นทั่วโลกที่มี Volume การซื้อขายน้อยผิดปกติ สำหรับประเทศไทย SET Index มี Volatility 30 วัน ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ที่ระดับ 4% บ่งบอกถึงโอกาสที่ Arbitrage และ Swing Trading ที่มีจำกัดและบ่งบอกถึงนักลงทุนอยู่ใน Precautions Mode
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศ Long ตลาด Future 6.5 พันสัญญาและซื้อพันธบัตรระยะสั้น 8-9 พันล้านบาท บ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่ใช่ขาลง แต่เป็นช่วง Sideway
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศซื้อ Bond ระยะสั้น 110,000 ล้านบาท ซื้อ Bond ระยะยาว 68,000 ล้านบาท ซึ้อหุ้นใน Cash Market 4.9 พันล้านบาท และ Long ตลาด Future 10,739 สัญญา บ่งบอกถึงค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้น แต่หุ้นจะเป็น Sideway และนิ่ง
ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาราคาน้ำมันถูกขายจนถึงจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ที่ OPEC ประกาศลดกำลังการผลิตรอบเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และ Bloomberg Commodity Index ทำจุดต่ำสุดในรอบ 12 เดือน ถือว่าเป็น Capitulation ของราคาน้ำมัน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขของ PMI ของจีนในเดือนเมษายนที่ออกมาค่อนข้างอ่อนแอ
แต่มองว่าราคาน้ำมันน่าจะ Rebound เนื่องจากประเทศในกลุ่ม OPEC น่าจะขยายการลดกำลังผลิตออกไปอีกและเงินทุนสำรอง (FX Reserve) ของประเทศจีนไม่ได้ส่งสัญญาณของเงินทุนไหลออก
การที่นาย Macron ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ส่งผลให้ค่าเงิน Euro ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 6 เดือน เกิดภาวะ Risk on ในหุ้น Europe และหุ้นใน Emerging Market แต่ค่าเงิน Euro มีความเสี่ยงที่จะถูก Sell on Fact
ในช่วงสั้น ตลาด North Asian จะ Outperform
ยังคงมองว่าภาวะ Tail Risk จะยังคงไม่เกิดขึ้นในเดือน พ.ค. แต่นักลงทุนควรจับตาดู GDP ของสหรัฐในไตรมาส 2 ที่อาจจะระดับ 2% เศษๆถึง 3% QoQ จากตัวเลข GDP ในไตรมาส 1 ของสหรัฐที่ถือว่าเป็น Exceptional Low ที่ระดับ 0.7% การที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น CPI ในเดือน มี.ค. และ GDP ในไตรมาส 1 ออกมาค่อนข้างไม่ดี อาจทำให้คณะกรรมการ FOMC ของสหรัฐยังคงไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน โดยที่ตลาดการเงินได้ Pricing การขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก ซึ่งถ้า Fed ไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้นชั่วคราว จะทำให้ Flow ที่อยู่ใน Safe Haven ไหลออกชั่วคราวสู่ Risky Asset
ยังคงมองตลาดทุนในครึ่งปีแรกของ 2017 ดีกว่าครี่งปีหลังของ 2017 คาดการณ์ว่า Real Bond Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังและการที่สหรัฐผ่านกฎหมาย Tax Reform ที่จะมีเม็ดเงินผ่านกระบวนการ Repatriation ของเงินลงทุนต่างประเทศกลับสู่สหรัฐ อาจนำไปสู่ภาวะ Risk Off ของตลาด Emerging Market ในครึ่งปีหลัง 2017
หุ้นที่ Underown และหุ้นที่มี Earning Surprise จะ Outperform และหุ้นกลุ่ม Utility ที่มี Earning Visibility จะ Outperform ในภาวะ Equity Drawdown ในครึ่งปีหลังของ 2017
ที่มาบทความ : www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup