10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหุ้น TNR
1.) TNR หรือบริษัท ไทยนิปปอนอินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกระบวนการยื่นแบบ filing เพื่อรับพิจารณาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากผ่านการพิจารณา TNR จะเป็นบริษัทแรกในตลาดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับถุงยางอนามัยเป็นหลัก
2.) ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตถุงยางอนามัย 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (“โรงงานแหลมฉบัง”) และที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี (“โรงงานปิ่นทอง”) โดยโรงงานแหลมฉบังมีกำลังการผลิตติดตั้งจำนวน 426 ล้านชิ้นต่อปี และโรงงานปิ่นทองมีกำลังการผลิตติดตั้ง จำนวน 1,533 ล้านชิ้นต่อปี คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมจำนวน 1,959 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจัดเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่มีกำลังการผลิตติดตั้งมากที่สุดในประเทศไทย
3.) บริษัทผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้กับองค์กรต่างๆ กว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงการประมูลงานผลิตสินค้าในกลุ่มดังกล่าวจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเติมเต็มกำลังการผลิตอีกด้วย
4.) จากรายได้ย้อนหลัง 3 ปี โดยเฉลี่ย บริษัทมีรายได้มาจากสินค้ากลุ่ม Onetouch ประมาณ 5% รายได้มาจากสินค้าที่รับจ้างผลิต OEM ประมาณ 65% และรายได้มาจากสินค้าที่ประมูลการผลิต ประมาณ 30% โดย งวดปีบัญชี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 1,302 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 31.1% และอัตรากำไรสุทธิ 18.0%
5.) จากรายได้ย้อนหลัง 3 ปี โดยเฉลี่ย บริษัทมีรายได้จากประเทศไทยประมาณ 7% ประเทศอื่นในทวีปเอเชีย 40% ทวีปยุโรป 6% ทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ 30% ทวีปแอฟริกา 14.5% และทวีปออสเตรเลีย 2.5% รวมเป็นรายได้จากต่างประเทศกว่า 93%
6.) รายได้กว่า 90% ของบริษัทอยู่ในรูปดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ต้นทุนเกือบทั้งหมดของบริษัทอยู่ในรูปบาทไทย
7.) ส่วนแบ่งการตลาดถุงยางอนามัยภายในประเทศไทย ปี 2557 Durex 61% Onetouch 19% ยี่ห้ออื่น 20% ในขณะที่ปี 2558 Durex 58% Onetouch 21% ยี่ห้ออื่น 21% โดยมูลค่าการตลาดรวมทั้งปีเท่ากับ 1,271 และ 1,333 ล้านบาทตามลำดับ
8.) ต้นทุนน้ำยางธรรมชาติเข้มข้น 60% ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิต 10 – 15 % ของต้นทุนการผลิตทั้งหมดนั้นไม่สามารถควบคุมราคาซื้อขายได้ เนื่องจากราคาขึ้นอยู่กับปริมาณอุปสงค์และอุปทานในตลาด โดยบริษัทไม่สามารถควบคุมราคาซื้อวัตถุดิบ เช่นเดียวกับไม่สามารถผลักภาระทางต้นทุนไปให้ลูกค้าได้เต็มที่ 100% เช่นกัน
9.) จากงานวิจัยของ Zion Research Analysis 2016 คาดการณ์ว่าตลาดถุงยางอนามัยจะมีการเติบโตสะสมอยู่ที่ 3.45% CAGR ในขณะที่ Global Industry Analysis, Inc คาดการณ์อยู่ที่ 7.79% CAGR จนถึงปี 2020
10.) พฤติกรรมและการรับรู้ของผู้บริโภคถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอุปสงค์ของตลาดถุงยางอนามัย และการพัฒนาของยารักษาโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่อภาวะตลาดและสถานะการเงินของบริษัท
ลงทุนศาสตร์ – Investerest