
ราคาทองคำและเงินพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงต้นสัปดาห์สุดท้ายของปี สะท้อนบทบาทสินทรัพย์หลบภัยที่กลับมาโดดเด่น ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ การคลัง และการเมืองการเงินของสหรัฐฯ
สัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนกุมภาพันธ์ปิดตลาดปรับขึ้น 1.9% สู่ระดับ 4,469.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังระหว่างวันทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 4,477.70 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำในตลาดสปอตขยับขึ้นเกือบ 2% มาอยู่ที่ราว 4,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นแล้วเกือบ 70% นับตั้งแต่ต้นปี และกำลังมุ่งหน้าสู่ผลงานดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979
ฝั่งแร่เงินก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่แถว 69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 128% ตั้งแต่ต้นปี สะท้อนแรงซื้อทั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและโลหะอุตสาหกรรมที่ได้อานิสงส์จากเทรนด์พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์และรถยนต์ไฟฟ้า
นักลงทุนมองว่าช่วงปลายปีเป็นจังหวะของการปรับสมดุลพอร์ต (rebalancing) และทองคำ–เงิน ถูกเลือกเป็นที่พักเงิน ท่ามกลางความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในปีหน้า แม้ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว แต่ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับจังหวะการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมยังคงอยู่
Matthew McLennan หัวหน้าทีม Global Value ของ First Eagle Investments ระบุว่า “คุณค่าของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงินและการคลัง ได้กลับมาอีกครั้ง” โดยเฉพาะในบริบทที่หลายประเทศเผชิญปัญหาขาดดุลงบประมาณในระดับสูง ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามต่อเสถียรภาพของเงินสกุลหลักในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความกังวลต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีแทรกแซงนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้ยิ่งตอกย้ำธีม “Debasement Trade” หรือการลดน้ำหนักสินทรัพย์ที่ผูกกับหนี้และสกุลเงินรัฐ
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ปีนี้ทองคำทำสถิติสูงสุดรายวันไปแล้วกว่า 50 ครั้ง โดยแรงซื้อหลักมาจากธนาคารกลางทั่วโลกและเงินทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำ ขณะที่สถาบันการเงินรายใหญ่อย่าง Goldman Sachs คาดว่าราคาทองคำยังมีโอกาสขยับขึ้นต่อในปี 2026 โดยประเมินกรอบเป้าหมายพื้นฐานใกล้ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมความเสี่ยงด้านขาขึ้น
ในภาพรวม การพุ่งขึ้นของทองคำและเงินในช่วงปลายปี ไม่ได้สะท้อนแค่แรงเก็งกำไรระยะสั้น แต่สะท้อนความกังวลเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจ การคลัง และความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงินโลก ซึ่งกำลังผลักให้โลหะมีค่ากลับมาเป็น “สินทรัพย์หลัก” ในพอร์ตของนักลงทุนสถาบันอีกครั้ง
โอกาสลงทุนกองทุนหุ้นเหมืองทอง
A-RING เป็นกองทุนหุ้นเหมืองทองคำที่มีคอนเซ็ปต์การลงทุนแบบ Passive Global Thematic ขุดความมั่งคั่งไปกับธีมเหมืองทอง Pure-play Gold Miners กองทุนแรกในไทย โดยมีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ซึ่งเป็น Passive ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index
คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | กองทุน A-RING กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำ จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT