6 สูตรลัดคัดหุ้นดี วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร

เมื่อบริษัทสามารถทำกำไรได้ดี ก็เป็นโอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ทั้งจากเงินปันผล และราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งกำไรที่ดีต้องเกิดจากการดำเนินธุรกิจหลัก ไม่ใช่รายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์ หรือกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น

สำหรับการวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร เรามักใช้ 6 อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ดังนี้

6 อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ

6 สูตรลัดคัดหุ้นดี วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร

GPM (Gross Profit Margin)

GPM คือ อัตรากำไรขั้นต้น บอกถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนสินค้า และการตั้งราคาขายสินค้า

NPM (Net Profit Margin)

NPM คือ อัตรากำไรสุทธิ บอกถึงความสามารถทำกำไรบรรทัดสุดท้าย ซึ่งอาจเกิดจากทั้งการบริหารต้นทุน บริหารงบการตลาด รวมถึงความสามารถในการแข่งขัน ฯลฯ

ROA (Return on Asset)

ROA คือ อัตราส่วนทางการเงินที่เทียบระหว่างกำไรสุทธิกับสินทรัพย์ บอกว่าบริษัทใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน

ROE (Return on Equity)

ROE คือ อัตราส่วนทางการเงินที่เทียบระหว่างกำไรสุทธิกับส่วนของผู้ถือหุ้น บอกว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการทำกำไรแค่ไหน ซึ่งส่วนของผู้ถือหุ้น คิดจากทรัพย์สินหักออกด้วยหนี้สิน

EPS (Earning per Share)

EPS คือ กำไรสุทธิต่อหุ้น คำนวณจากกำไรสุทธิ หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งตัวเลขที่ได้จะแสดงให้เห็นว่าการถือหุ้น 1 ตัว จะได้กำไรเท่าไร

QE (Quality of Earning)

QE คือ คุณภาพกำไร โดยเปรียบเทียบกำไรสุทธิกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เพื่อดูกำไรที่ได้มานั้น เป็นเงินสดเงินจริงเท่าไร อัตราส่วนทางการเงินเหล่านี้ “ยิ่งสูง ยิ่งดี” บอกว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีแค่ไหน โดยเราควรใช้เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง หรือค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน

FinSpace

ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/6-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/

iran-israel-war