Central-Bank

ปี 2558 นับเป็นอีกปีที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนสูง โดยตลาดหุ้นโลกเริ่มต้นปีด้วยการปรับตัวขึ้นนำโดยตลาดยุโรป และญี่ปุ่นที่มีนโยบาย QE และ QQE ช่วยสนับสนุน โดยความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ FED มีอยู่เป็นระยะ และตลาดหุ้นโลกได้มีการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อจีนได้ทำการลดค่าเงินตัวเองอย่างผิดปกติในช่วงเดือนสิงหาคม 2558 ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกได้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนเรียกว่า “Black Monday” อีกครั้งในวันที่ 24 สิงหาคม 2558 โดยรวมไตรมาส 3/58 ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างถ้วนหน้า โดยจีนลงแรงสุดประมาณ 30% ขณะที่ประเทศอื่นๆ มีอัตราการปรับลดลงประมาณ 10 – 20% ทั้งนี้ ในช่วงปลายไตรมาส 3/58 ประเทศผู้ส่งออกโภคภัณฑ์อย่างบราซิล เริ่มส่งสัญญาณมีปัญหา คล้ายกับกรณีของรัสเซียที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ปฏิกิริยาตอบสนองของ FED สร้างจุดเปลี่ยนให้ตลาด

ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ท่าทีของ FED เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดย FED ส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก โดยตลาดเริ่มมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่ FED จะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายออกไปก่อนจนถึงปี 2559 เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังไม่ใช่ปัจจัยที่น่ากังวล ขณะที่ยุโรปเริ่มส่งสัญญาณการเพิ่มขนาดเม็ดเงินกระตุ้นทางนโยบายการเงินซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงปลายปี เช่นเดียวกับจีนซึ่งล่าสุดปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปีลงอีก 0.25% เหลือ 1.5% ทำให้ตลาดหุ้นโลกโดยรวมกลับมาตอบรับในเชิงบวกอีกครั้ง แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ประกาศออกมาจะอยู่ในแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง


ในเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา IMF ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2558 – 2559 ลง 0.2% โดยออกรายงานที่ชื่อว่า “Adjusting to lower commodities price” หมายถึงผลกระทบจากราคาโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลก อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าตลาดหุ้นโลกกลับเพิกเฉยต่อข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจพื้นฐาน แต่กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังว่าอเมริกาจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย และคาดหวังว่าการกระตุ้นทางการเงินของยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงจีนจะมีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัททั่วโลกที่ทยอยประกาศออกมาค่อนข้างแย่โดยเฉพาะสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Morgan Stanley, Goldman Sach, Deutsche Bank, Credit Suisse ฯลฯ แต่ปรากฎว่าตลาดหุ้นก็ยังปรับตัวเพิ่มได้ท่ามกลางข่าวร้ายนั้น

ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มรีบาวนด์ในไตรมาส 4/58

จากปัจจัยข้างต้น ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา INFINITI Global Investors ได้แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง ในส่วนของตลาดหุ้นจีนนอกจากการปรับลดดอกเบี้ยแล้ว ล่าสุดตัวเลข Loan Growth ของจีนกลับมาเติบโตแรงอีกครั้ง ส่วนหนึ่งจากการแทรกแซงของทางการ โดยเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านหยวนในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเช่นเดียวกับตัวเลข Money Supply ที่กลับมาเติบโตกว่า 10% นอกจากนี้การเลื่อนการคาดการณ์ในการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่งผลบวกต่อค่าเงินของเอเชียให้แข็งค่าขึ้น และเงินทุนกลับมาไหลเข้าอีกครั้งค่าเงินหยวนเริ่มกับมามีเสถียรภาพ ความกังวลเรื่องการลดค่าเงินหยวนลดลง

โดยเราได้แนะนำให้เข้าลงทุนใน H-Share เนื่องจาก 70% ของ H-Share เป็นกลุ่มธนาคารซึ่งได้ประโยชน์สูงสุดจากการเติบโตของ Loan Growth (ในรอบที่แล้วที่ Loan Growth เติบโต H-Share ได้มี rally รอบใหญ่) และส่วนใหญ่ของ H-Share เป็นหุ้น Big Cap เช่น Petro China, China Telecom ซึ่งไม่ได้มีการเก็งกำไรกันมากเหมือนหุ้นขนาดเล็กที่อยู่ใน A Share ทั้งนี้ Valuation ของแบงค์จีน P/B กลับมาเหลือเพียง 1 เท่าต่ำที่สุดนับแต่ Hamburger Crisis

สำหรับตลาดหุ้นไทย เราได้แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมาโดยมองว่ามีโอกาสที่จะเกิด Short term rally ในช่วงไตรมาส 4/2558 โดยเป็นครั้งแรกนับแต่ต้นปีที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง
ขณะที่ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยเรามองว่าจะมีปัจจัยบวกจากนโยบายรัฐบาลเริ่มมีการขับเคลื่อนได้เร็วขึ้นภายหลังเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจใหม่ ทั้งเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ

ขณะที่ตลาดดูเริ่มจะลดการตอบสนองเชิงลบต่อข่าวร้ายเช่นการลดประมาณการเศรษฐกิจของ World Bank & IMF ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รวมไปถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคารและพลังงานที่ออกมาแย่ ตลาดกลับยังคงสามารถยืนบวกได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีกระแสเงินจากนักลงทุนสถาบันที่เข้าช่วยพยุงตลาดจากการซื้อกองทุน LTF และ RMF ในช่วงปลายปีเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมอีกด้วยโดยเมื่อวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานประกอบกับภาพทางเทคนิคคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ที่ประมาณ 1500 จุด และอาจปรับเพิ่มได้แรงถึง 1600 จุด ซึ่งแนะนำนักลงทุนให้ขายทำกำไรบางส่วนที่แนวต้าน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานสำคัญคือการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังไม่มีแนวโน้มที่ดีในปัจจุบัน เราจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ของปีได้ในรอบนี้

FundTalk

INFINITI Global Investors

The Ultimate Investment Solution