ปี 2023 กับราคาทองบาทละ 40,000 เป็นไปได้จริงหรือ?

อินเตอร์โกลด์มองปี 2023 เป็นโอกาสของทองคำที่จะไปถึงจุดสูงสุดใหม่ได้ เพราะได้อานิสงค์จากราคาทองคำต่างประเทศ (Gold spot) ที่พุ่งทะยานต่อเนื่อง แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งตัวจะกดดันราคาทองคำอยู่บ้าง แต่โดยรวมราคาทองในประเทศก็น่าปรับตัวสูงขึ้นมาและก็คงจะได้เห็นภาพ บรรยากาศตามหน้าร้านทองที่มีพี่ป้า น้าอา ต่อคิวขายทองกันอย่างคึกคักแน่นอน ทั้งนี้เหล่ากูรู นักวิเคราะห์ต่าง ๆ เริ่มออกมาฟันธงกันแล้วว่าทองคำไทยในปีนี้จะพุ่งไปถึงระดับ 35,000 บาทถึง 40,000 บาทต่อบาททองเลยทีเดียว แต่อินเตอร์โกลด์ยังคงประเมินราคาทองคำไทยอยู่ที่ช่วงราคา 31,800 – 32,000 บาทต่อบาททองเท่านั้น สาเหตุคืออะไร และมีความเสี่ยงที่เราต้องติดตามมีอะไรบ้าง วันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ฟังครับ

โดย คุณธีรรัฐ จุฑาวรากุล ผู้บริหาร บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด ได้พูดถึงปัจจัยที่จะหนุนทองในปี 2023 ไว้ดังนี้นะครับ

1. ความขัดแย่งระหว่างประเทศ 

จากปีก่อนเราจะเห็นว่าเกิดการจับมือกันระหว่าง ซาอุฯ และจีน เพื่อดันให้สกุลเงินหยวนเป็นทางเลือกในการซื้อขายน้ำมัน ซึ่งแปลว่าบริษัทน้ำมันทั่วโลกสามารถกระจายความเสี่ยงออกจากสกุลเงินดอลลาร์ได้ จากที่เมื่อก่อนไม่มีทางเลือกอื่นเลยต้องซื้อขายน้ำมันกันเป็นสกุลเงินดอลลาร์เท่านั้น แต่ตอนนี้สามารถแบ่งมาถือหยวนในการซื้อ-ขายบางส่วนได้ เชื่อว่าสหรัฐฯ ที่เคยเป็นเจ้าตลาดมาตลอดก็คงเริ่มมีเสียวสันหลังกันบ้าง

สาเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นมาเลยก็คือเมื่อมีทางเลือกมากขึ้นความต้องการดอลลาร์ในตลาดก็จะลดลงนั่นเอง แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ทางสหรัฐฯ ที่แต่เดิมก็มีความไม่พอใจพี่จีนอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความไม่พอใจเข้าไปอีก เดาได้เลยว่าจีนกับสหรัฐฯจะคืนดีกันในเร็ว ๆ นี้คงเป็นไปได้ยากมาก ๆ

เราอาจจะได้เห็นสงครามการค้าที่น่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความขัดแย้งในขั้วมหาอำนาจของโลกจะเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจโลกให้ไม่สามารถเติบโตอย่างราบรื่นได้ เรานักลงทุนทองคำก็คงได้แต่นั่งบนภูดูเสือกัดกัน สุดท้ายแล้วเมื่อสงครามการค้าเกิดขึ้นก็จะส่งผลดีต่อราคาทองคำในปีนี้อย่างแน่นอน

2. เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก 

ในช่วงที่ผ่านมามีหลายคนถามว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอยใช่หรือไม่ มันจะเกิดขึ้นตอนไหน ในความเป็นจริงแล้วเราอาจจะไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอย เพราะเราได้เข้ามาอยู่ในยุคเศรษฐกิจถดถอยมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2022 จนถึงต้นปี 2023 เราเห็นสัญญาณต่าง ๆ ที่เริ่มแสดงตัวอย่างเด่นชัดขึ้นมาเท่านั้น โดยสัญญาณต่าง ๆ เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก รวมไปถึงประเทศพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ก็โดนผลกระทบไปเต็ม ๆ สาเหตุหลัก ๆ ก็เกิดจากปัญหาเงินเฟ้ออยู่ที่อยู่ในระดับที่สูงมาก ทำให้ธนาคารกลางของหลายประเทศต้องใช้ยาแรงในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้

ผลกระทบที่ตามมาก็เกิดขึ้นอย่างมหาศาล เพราะการขึ้นดอกเบี้ยแม้จะชะลอเงินเฟ้อในระดับที่สูงได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งในตอนนี้เราก็เริ่มเห็นผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายบริษัทเริ่มประกาศลดคนอย่างต่อเนื่อง หลายบริษัทล้มไปก็มี และที่สำคัญเลยเงินเฟ้อกลับยังไม่ลดลงมาอย่างที่หวัง ดังนั้นดอกเบี้ยอาจต้องขึ้นไปอีกสักพัก คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะทำจุดสูงสุดภายในปีนี้ และหลังจากนั้นเมื่อการขึ้นดอกเบี้ยถึงจุดที่ไม่สามารถขึ้นได้แล้ว หรือเงินเฟ้อเริ่มลดมาสู่ระดับต่ำ นโยบายทางการเงินของทั่วโลก จะเปลี่ยนเป็นแนวพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็จะได้เห็นการกลับมาลดดอกเบี้ยหรือพิมพ์เงินอีกครั้ง ในตอนนั้นทองคำจะเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนมองว่า 2100$ ไม่ใช่เรื่องยากเลย

3. ในปี 2022 ทองคำถูกเพิ่มการสะสมโดยธนาคารกลางหลาย ๆ ประเทศ

โดยการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกนั้นทำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากมีตัวอย่างจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ธนาคารกลางตระหนักมากขึ้นว่าการถือครองดอลลาร์ในปริมาณมากมีความเสี่ยง เพราะเราได้เห็นตัวอย่างแล้วว่าหากเกิดปัญหาระหว่างประเทศ การที่เราถือสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งเอาไว้เยอะ ๆ ทำให้เกิดช่องทางในการใช้มาตรการคว่ำบาตร เงินที่มีไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้เลย นี่ถือเป็นความเสี่ยงระดับชาติ 

จากทั้ง 3 ปัจจัยหลักที่กล่าวไป ล้วนส่งผลดีเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำให้มีโอกาสพุ่งสูงได้ โดยถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดการที่ทองคำจะขึ้นไปอย่างน้อย ๆ ที่ระดับ  2100$ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย นักลงทุนที่ดอยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หรืออยากทำกำไรกันในปีนี้เชื่อว่าจะไม่ผิดหวัง อย่างไรก็ตามก็ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจจะต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด โดยหลัก ๆ นั้น จะมีอยู่ 3 ข้อ คือ

1. ในด้านความขัดแย้งระหว่างประเทศ

จีนและสหรัฐฯ สรุปว่าจะทะเลาะกันหรือจะหันมาลงเรือลำเดียวกันก็ยังไม่แน่ไม่นอน เพราะหากเศรษฐกิจไปถึงจุดที่แย่มาก ๆ ก็เป็นไปได้ที่เค้าจะตกลงอะไรกันบางอย่างในระยะสั้นเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตไปก่อน และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ค่อยมาขัดแย้งกันใหม่ เพราะในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรผลประโยชน์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ถ้ากรณีนี้เกิดขึ้นมาจริง ๆ จะกดดันทองคำอย่างมากในระยะสั้น แต่โดยส่วนตัวมองว่ากรณีนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก

2. ปัญหาเงินเฟ้ออาจจะจบได้อย่างรวดเร็ว

หากความขัดแย่งระหว่างประเทศจบลง (จากข้อ 1) จีนกับสหรัฐฯกลับมาทำให้โลกค้าขายเสรีอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงเงินเฟ้อก็ต้องร่วงลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หรือยิ่งมากไปกว่านั้นอาจะจะกลับมาลดดอกเบี้ยได้สบาย ๆ เพราะเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ดอกเบี้ยต้องอยู่ในระดับสูงอีกต่อไป แบบนี้เศรษฐกิจที่เราคิดกันว่าจะถดถอยรุนแรงที่กลัวกัน ก็จะไม่เกิดขึ้น

3. ทิศทางค่าเงินบาท

หลังจากมีการเปิดประเทศเป็นไปได้ว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะไหลเข้าไทยเป็นจำนวนมาก จนอาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงไปต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งนอกจากด้านการท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในด้านเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งค่อนข้างดีกว่าหลาย ๆ ประเทศในเอเชีย ซึ่งทำให้แม้ทองคำต่างประเทศมีโอกาสพุ่งสูง แต่ก็จะโดนกดดันด้วยการแข็งตัวของค่าเงินบาทนั่นเอง

แต่ส่วนตัวมองว่าค่าเงินบาทอยู๋ที่ 32 ก็แข็งค่าเกินไปแล้ว เพราะเราต้องอย่าลืมว่าสหรัฐฯ ยังขึ้นดอกเบี้ยอยู่ และหากเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงจริง ๆ ซึ่งอาจจะเกิดในยุโรปก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเพราะเงินไหลออกจากยุโรปไปสู่สกุลเงินดอลลาร์

หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการค้า สงคราม ก็ส่งเสริมให้ดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน

สุดท้ายแล้วจากความเสี่ยง 3 ข้อ ผมก็มองว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อย แต่นักลงทุนระวังไว้ก็ไม่เสียหาย

ซึ่งโดยสรุปแล้วหากไม่มีอะไรผิดพลาดราคาทองคำอย่างน้อย ๆ ในปี 2023 น่าจะขึ้นไปถึงระดับ  2100$ ส่วนค่าเงินบาทก็น่าจะอยู่ที่บริเวณ 32 บาทต่อดอลลาร์ เพราะแบงก์ชาติเองก็ไม่ได้อยากให้บาทแข็งมากเกินไปหรอก ดังนั้นเราจะสามารถคำนวณราคาทองคำแท่งประเทศไทยได้คร่าว ๆ อยู่ที่ 31,800 บาท เป็นอย่างน้อย นักลงทุนที่ติดดอยกันไว้ในปีที่แล้ว ปีนี้ก็เตรียมตัวหยุดความหนาวแล้วลงดอยกันได้ครับ  แต่ถ้าพูดถึงราคาจะขึ้นไประดับ 35,000 ถึง 40,000 บาทต่อบาททองไหม มองว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากที่จะเกิดขึ้นได้ในปีนี้หรือปีหน้าครับ

Intergold