การลงทุนในช่วงวิกฤต Covid-19

มีวิกฤตย่อมมีโอกาส

แต่โอกาสนั้นจะเป็นของคนที่มีความรู้พร้อมรับมือ และสามารถฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ไม่ปกติได้

หากเกิดวิกฤตแต่เราเองไม่มีความรู้ หรือไม่สามารถนำตัวเองออกมาจากศูนย์กลางของวิกฤตได้ทัน นั่นอาจจะกลายเป็นวิกฤตของเราเอง

 

ไวรัส Covid-19 นั้นเป็นโรคระบาดที่สามารถระบาดจากคนสู่คนได้ คาดว่าจุดกำเนิดนั้นเกิดขึ้นจากการติดเชื้อระหว่างสัตว์ป่าสองสายพันธ์ุ ณ ตลาดค้าขายเนื้อสัตว์ป่าในประเทศจีน

ความน่ากลัวของ Covid-19 นั้นไม่ใช่ความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตของคน แต่เป็นความสามารถในการแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย ทำให้มันสามารถแพร่ระบาดไปในวงกว้างได้อย่างง่ายดายโดยที่มนุษย์ไม่สามารถตั้งมือรับและควบคุมการระบาดได้ทัน

ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2563 ได้มีข่าวการแพร่ระบาดครั้งแรกของไวรัสชนิดนี้ในเมืองหนึ่งของประเทศจีน

การระบาดส่วนใหญ่ในช่วงเดือนแรกของปีนั้นอยู่ในประเทศจีนเป็นหลัก ส่วนเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงน่าจะเป็นเทศกาลตรุษจีน

และเนื่องจากไวรัสชนิดนี้ใช้เวลา 14 วันในการฟักตัวและทำให้ผู้ติดเชื้อเริ่มแสดงอาการ ทำให้ไม่มีใครระมัดระวังในการป้องกันในช่วงแรก

จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื้อง จากวันละหลักร้อยจนกลายเป็นวันละหลายพันเคส ทำให้จีนต้องสั่งปิดเมืองอย่างเด็ดขาดเพื่อควบคุมไม่ให้เชื้อถูกแพร่ออกไปนอกประเทศ

ทุกๆอย่างดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นเมื่อประเทศจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้โดยดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เริ่มคงที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง

แต่ความหวังก็ต้องหมดไปเมื่อโรคนี้เริ่มแพร่ระบาดเข้าสู่ต่างประเทศ โดยประเทศที่ได้รับการแพร่ระบาดหนักต่อมาคือญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

เกาหลีใต้เป็นประเทศที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดในช่วงแรกจากเหตุการณ์ Super Spreader แต่ท้ายที่สุดยอดผู้ติดเชื้อก็เริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง

ในระหว่างที่จำนวนผู้ติดเชื้อก็มีเกิดขึ้นบ้างในประเทศฝั่ง Europe และ USA ซึ่งจำนวนค่อนข้างน้อยและดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากลัว

เพราะความประมาทเป็นเหตุ ทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่ได้มีการรับมืออย่างจริงจังจนจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้

จากเคสผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่เพิ่มวันละหลักพัน กลายมาเป็นวันละหลักหมื่น และขึ้นไปถึงจุดสูงสุดถึงหลักแสนคน

อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อในฝั่ง Europe นั้นสูงกว่าที่จีนอย่างมาก ยิ่งจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น ความสามารถในการรองรับของโรงพยาบาลก็ต่ำลง

ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกคน บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นที่จะต้องเลือกว่าผู้ป่วยระดับไหนมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาพักในโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา ผู้ป่วยบางคนที่อาการเกินระดับที่จะรักษาได้ก็จะต้องถูกเลือกปล่อยให้เสียชีวิต

 

ในช่วงเดือนมีนาคม 2563 เป็นช่วงที่มีอัตราการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้ประเทศต่างๆเริ่มมีการปิดประเทศและปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

ถึงแม้ว่าการปิดเมืองจะส่งผลดีต่อการควบคุมการแพร่ระบาด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจนั้นรุนแรงมหาศาล เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศนั้นหยุดชะงัก

ยิ่งการปิดประเทศกินระยะเวลานานมากเท่าไหร่ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและการเงินที่สะสมไว้ใต้พรมของแต่ละประเทศก็ยิ่งถูกเปิดออกมามากเท่านั้น

นี่เป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ เพราะหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น หลายๆสถาบันอาจจะล้มลงและเกิดผลกระทบแบบโดมิโน

ประเทศที่น่าจับตามองคือประเทศ Italy ซึ่งมีการแพร่ระบาดในระดับสูง

การที่ Italy มีการแพร่ระบาดสูงจนทำให้ต้องปิดประเทศก็อาจจะเป็นตัวชนวนให้เกิดอะไรอื่นๆตามมาหรือไม่ เพราะ Italy เองก็มีหนี้ภาครัฐสูงเป็นอันดับ 2 ของ EU รองจาก Greece

 

ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 เป็นช่วงเวลาที่มีข่าวดีเกิดขึ้น ไม่ใช่การแพร่ระบาดได้หยุดลงแล้ว แต่เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมหาศาลทั่วโลก (พิมพ์เงิน)

แน่นอนว่าการอัดฉีดเงินจำนวนมากเท่านี้จะไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่อย่างน้อยก็เป็นการปิดความเสี่ยงเรื่องการล้มลงของสถาบันใหญ่ๆ และทำให้ระบบยังสามารถดำเนินต่อไปได้

พูดภาษาชาวบ้านได้ว่า “ขอไปตายดาบหน้า”

 

ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2563 เป็นภาวะที่ดูน่ากลัวอย่างมากสำหรับเศรษฐกิจโลก จนหลายๆคนเริ่มมองแง่ร้ายถึงขนาดการล่มสลายของทุนนิยม

ผมก็เห็นด้วยนะว่าระบบทุนนิยมนี่มันงูกินหางตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน มันคงไม่แปลกถ้าจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

ใช่! มันดูน่ากลัว

แต่ผมก็กลับมามองบริษัทแต่ละแห่งในตลาดหุ้น ต่อให้ทุนนิยมจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จริงๆ แต่บริษัทเหล่านี้จะหมดมูลค่าหรือไม่?

  • 7-11 ก็ยังเปิดอยู่ทุกวัน และจะต้องมีผู้ผลิตสินค้าเข้ามาขายในร้าน
  • ค้าปลีกประเภทอื่นๆหรือห้างสรรพสินค้าก็ยังต้องเปิดให้คนเข้ามารับความบันเทิงและทำกิจกรรมต่างๆ
  • คนทุกคนยังต้องพยายามทำมาหากิน ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือรับจ้างก็ตาม
  • ร้านอาหารยังต้องเปิด เพราะเราต้องทานอาหาร
  • ธุรกิจอสังหาฯที่ว่าแย่ๆก็ยังต้องสร้างให้คน Real Demand ซื้ออยู่อาศัย
  • โรงพยาบาลก็ยังต้องเปิดรักษาผู้ป่วย
  • โรงเรียนก็ยังต้องเปิดให้เด็กเข้ามาศึกษาหาความรู้
  • ตึกสำนักงานก็ยังต้องเปิดและมีผู้เช่า เพราะธุรกิจต่างๆต้องดำเนินการต่อไป
  • อีกหลายๆอย่างต้องดำเนินต่อไป เพราะว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่มนุษย์เริ่มกำเนิดขึ้นบนโลก

เมื่อตั้งสติได้แบบนี้เราจะเห็นว่า จริงๆแล้วบริษัทต่างๆนั้นมีมูลค่าในตัวมันเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาราคาหุ้นในตลาด

ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่นักลงทุนให้ แค่ในช่วงนี้นักลงทุนกลัวจนไม่กล้าให้มูลค่าสินทรัพย์ ขนาดทองที่ว่าแน่ยังไม่กล้าให้ค่าสูงมากเลย กลับเลือกที่จะถือเงินสดแทน

เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นักลงทุนจะกลับมาให้มูลค่าสินทรัพย์ต่างๆอีกครั้งโดยเฉพาะหุ้น

นั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักรอคอย เพราะอย่างน้อยเราก็รู้ว่าธุรกิจต่างๆมันมีมูลค่าในตัวมันเอง

อย่างน้อยปันผลที่ได้รับก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเงินลงทุนของเราได้สร้างผลตอบแทนอย่างแท้จริง ตราบเท่าที่บริษัทยังแข็งแกร่งและดำเนินงานต่อไปได้

การรอคอยในครั้งนี้ ผมเชื่อว่าจะให้โอกาสแก่คนที่มองเห็นอย่างมาก

 

ตอนนี้หุ้นถูกเกือบทุกตัวครับเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ไม่ใช่ทุกตัวจะให้โอกาสที่ดีที่สุด

ผมคิดว่ามี 4 Theme ที่เราสามารถเลือกลงทุนได้หลังวิกฤตเริ่มมีสัญญาที่ดีขึ้น

  1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยแต่ราคาลงมาเยอะ
  2. หุ้นที่ได้รับผลกระทบชั่วคราวและราคาลงมาเยอะกว่าตลาดอย่างมาก
  3. หุ้นใหญ่ SET50 ที่ราคาลงมาเยอะและปันผลสูงกว่า 5%
  4. หุ้น Super Stock ที่จะโตได้ 10 เท่าในทศวรรษต่อไป

ซึ่งทั้งหมดผมคิดว่าข้อ 4 ดูจะยากสุดครับเพราะต้องอาศัยจินตนาการสูงมาก

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเราไม่ควรซื้อหุ้นตัวเดียวเข้าพอร์ทอยู่แล้ว

แนวทางที่ดีในสถานการณ์แบบนี้คือการกระจายอย่างน้อย 5-6 หุ้นเข้ามาใน Port ซึ่งหุ้นแต่ละตัวควรจะอยู่ภายใต้ 1 ใน 4 Theme ที่กล่าวไป

จะดีที่สุดถ้าเราผสมได้อย่างลงตัวในแต่ละ Theme และจะต้องกระจายอุตสาหกรรมด้วยนะครับ

 

ส่วนงบ Q1 ผมก็คิดว่าน่าจะออกมาไม่ดีตามที่ทุกคนรู้ ก็ลองดูปฏิกิริยาของตลาดหุ้นช่วงนั้นก็ได้ครับว่าจะเป็นอย่างไร

ตลาดหุ้นลงมาลึกมากภายในไม่ถึง 1 เดือน และก็คงไม่ได้ขึ้นง่ายๆเป็นตัว V-Shape เนื่องจากยังมีปัญหาใต้พรมอีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกมา

แต่แล้วท้ายที่สุด Covid 19 จะผ่านไป เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อฟ้าดินครับ ระหว่างรอเราก็รับปันผลไปพลางๆก่อนครับ

ช่วงนี้ก็จะต้องติดตาม Covid-19 และผลกระทบอย่างใกล้ชิด และประเมินสถานการณ์เป็นรายวันไปครับ

 

InvestDiary

ที่มาบทความ: https://investdiary.co/2020/03/16/186-covid19/

ดูรายละเอียดพอร์ต Equity-Prop Balanced Growth ได้ที่ https://www.finnomena.com/port/investdiary/