พื้นฐาน เทคนิค หรือจิตใจ: อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเทรดกันแน่?

สำหรับเทรดเดอร์หลายคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาสักพักหนึ่ง เนื้อหาดังต่อไปนี้อาจจะทำให้คุณได้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอันแสนเจ็บปวด ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนหรือกี่ปีคุณก็ยังรู้สึกว่าถ้าคุณรู้เร็วกว่านี้ก็คงดี

และเผลอๆ คุณอาจจะไม่ต้องระเบิดพอร์ตตัวเอง 2-3 ที ก่อนที่คุณจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงที่จะช่วยชีวิตพอร์ตคุณได้ในอนาคต หรือบางทีคุณอาจจะหัวเราะไประหว่างอ่านด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนคุณทำลงไปได้อย่างไร

…ข้อผิดพลาดที่สามารถแก้ไขได้หากคุณเรียนรู้ที่จะเข้าใจ “ตัวคุณเอง” จริงๆ

เป็นเรื่องตลกดีที่เนื้อหาต่อไปนี้มาจากการที่ผมเทรดผิดพลาดไปเมื่อไม่นานมานี้จากการที่ผมไม่ยอมทำตามวินัยและระบบที่ได้วางเอาไว้ ผมเลยกลับไปอ่านหนังสือ “Trading in the Zone” เพื่อปรับทัศนคติใหม่ให้อยู่ในโซนเหมือนเดิม

หนึ่งในเนื้อหาของหนังสือค่อนข้างน่าสนใจและผมว่าน่าจะมีประโยชน์กับใครหลายๆ คนโดยเฉพาะคนที่กำลังคิดจะเริ่มต้นการลงทุนหรือการเก็งกำไรในตลาดอะไรก็ตาม

ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือพวกเขาชอบคิดว่าเขาต้องเรียนรู้เครื่องมือการลงทุนอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการชนะตลาด โดยหลายคนในช่วงเริ่มแรกก็หนีไม่พ้นการศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ในการมาช่วยวิเคราะห์หาสินค้าที่มีแนวโน้มลู่เข้าหามูลค่าที่แท้จริงของมัน

บางคนทำได้ค่อนข้างดีแต่หลายๆ คนก็ไม่สามารถที่จะทนถือได้เป็นปีๆ เพื่อที่จะกินกำไรก้อนโต (หรือหนี้ก้อนโต) นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ชอบใช้ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) ในการจับจังหวะตลาดในการลงทุนหรือเก็งกำไร เพราะเป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าใจได้ง่ายและใช้ได้ง่ายกว่าการวิเคราะห์ปัจจัยทางพื้นฐาน ซึ่งแม้แต่คนที่ใช้ Fundamental Analysis เดี๋ยวนี้ก็ต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการจับจังหวะตลาดเช่นเดียวกัน เนื่องจากคงไม่มีใครทนถือของดีราคาแพงได้นานนักหรอก (ยกเว้นคุณกะว่าจะไม่ขายมันเลยอีกสัก 10-20 ปี)

แต่เอาเข้าจริงๆ คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันช่วยให้คุณเทรดดีขึ้นจริงๆ หรือ?

แล้วทำไมคนที่เก่งมากๆ ที่รู้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคยังไม่สามารถเป็นผู้ชนะในตลาดได้อย่างต่อเนื่องล่ะ?

ความรู้จากเครื่องมือเหล่านี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณมีข้อได้เปรียบสูงขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้คุณเป็นผู้ชนะในตลาดในระยะยาว

ประเด็นมันอยู่ที่ “Mindset” ต่างหาก

โดยส่วนตัวแล้ว ระบบของผมประกอบไปด้วย 2 ส่วนเท่านั้น

ส่วนแรกคือระบบการเทรด พูดง่ายๆ ก็คือระบบการซื้อการขาย ระบบคุมความเสี่ยง เป็นต้น และอีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของ Mindset ซึ่งเมื่อก่อนผมคิดว่าแค่มี Mindset ที่เข้าใจถึงสภาวะตลาดได้ดีก็ถือว่าสมบูรณ์แล้วที่จะเอาชนะตลาดได้ ผมจึงเน้นไปที่การพัฒนาระบบการเทรดเสียมากกว่า

แต่หลังเทรดมาสักระยะผมต้องบอกว่าระบบการเทรดมีความสำคัญแค่ 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลือคือเรื่องของ Mindset ล้วนๆ ผมไม่ได้กำลังบอกว่าระบบเทรดที่ดีนั้นไม่สำคัญ แต่ประเด็นคือต่อให้คุณมีระบบที่ดีแค่ไหน ระดับที่ว่าสามารถชนะตลาดได้ถึง 90% ในระยะยาว แต่ถ้าคุณไม่ได้มีการเรียนรู้ที่จะคุมจิตใจของคุณให้ทำตามระบบได้ มันก็เหมือนกับนักดนตรีที่ไม่กล้าดีดกีตาร์ราคาแพงละครับเพราะกลัวว่าจะเป็นรอย

ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือชอบคิดว่าปัญหาต่างๆ ในตลาดสามารถแก้ไขได้ด้วยการเรียนรู้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยเทคนิคที่ซับซ้อนและยากขึ้น เพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้กับตัวเองในตลาด ซึ่งพวกเขาก็มักจะทำได้ดีหลังจากเรียน แต่สักพักหนึ่งพวกเขาก็จะระเบิดพอร์ตตัวเองอยู่ดีในท้ายที่สุด แล้วก็จะกลับเข้าไปสู่วงจรอุบาทว์ลูปเดิมที่เชื่อว่าการเรียนรู้เพิ่มเติมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาได้ ทั้งๆ ที่ปัญหามันไม่ใช่ที่ระบบเทรดแต่คือระบบของ Mindset พวกเขาต่างหาก

วงจรชีวิตของเทรดเดอร์

เพราะฉะนั้นผมอยากให้คุณถามตัวเองก่อนจะเสียเงินไปกับการเรียนคอร์สราคาแพงว่าคุณเข้าใจ “ตัวคุณเอง” จริงๆ แล้วหรือยัง

ผมแนะนำให้ทุกคนอ่าน “Trading in the Zone” ครับ คุณจะได้อะไรดีๆ กลับไปปรับใช้เยอะมาก หรือตามลิงค์นี้เลยครับเพื่อดูหนังสือ 5 เล่มที่ผมแนะนำให้เทรดเดอร์ทุกคนพิจารณาดูครับ

https://www.finnomena.com/james-lan/5_books_to_make_you_a_trader/

แล้วก็เรื่องเกี่ยวกับความเข้าใจผิดของการเป็นเทรดเดอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในเนื้อหาของ “Trading in the Zone” เช่นกัน

https://www.finnomena.com/james-lan/trader-reality/

SaveSave