ธีมการลงทุนปี 2021 จาก MacroView

ถือว่าเป็นธรรมเนียมของทุกต้นปี ที่ผมจะนำธีมการลงทุนที่คิดว่าท่านผู้อ่านน่าจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาแบ่งปันกัน

ในปีนี้ ถือว่าพิเศษสุดเนื่องจากเหตุการณ์โควิด จึงทำให้ธีมการลงทุน ออกจะมีความเป็นลักษณะเฉพาะตัวในแง่ของความคิดเห็นมากกว่าทุกปี ดังนี้

DM over EM

น่าจะถือว่าเป็น Call ที่ออกจะสวนทางกับนักกลยุทธ์ส่วนใหญ่ ผมมองว่าแม้ว่าจะมีปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ (EM) อยู่ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่เติบโตดีขึ้นจากวัคซีนโควิด ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง และ ราคาน้ำมันดิบที่ยังถือว่าไม่สูงมากเกินไปนัก ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดเกิดใหม่ ทว่าผมยังมองว่าตลาดเกิดใหม่จะดีขึ้นมากในปี 2022 มากกว่า ที่จะเป็นในปี 2021 ด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศในตลาดเกิดใหม่โดยส่วนใหญ่ ยังน่าจะไม่สามารถฉีดวัคซีนโควิดให้กับประชากรในสัดส่วนที่จะทำให้เกิดภูมิต้านทานหมู่ (Herd Immunity) ได้ทันในปีนี้

สิ่งนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในส่วนของภาคบริการ ซึ่งถือเป็นส่วนหลักของเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยว ยังไม่สามารถกลับมาได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ไม่อยากที่จะมาเที่ยวในประเทศตลาดเกิดใหม่โดยยังกลัวว่าจะติดโควิดอีก ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องยังคงไม่กลับมาคึกคักอย่างที่คาด แม้ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกน่าจะกลับมาเป็นบวกแล้วก็ตาม

Small Cap over Big Cap

ในปี 2021 มีสิ่งหนึ่งที่ได้เปลี่ยนไปในมิติของนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐ นั่นคือการโฟกัสไปที่บริษัทขนาดกลางและเล็ก ซึ่งถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดเน้นเป้าหมายการจ้างงานมากกว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ โดยอย่างที่ทราบกันว่าบริษัทขนาดกลางและเล็กเป็นผู้จ้างงานหลักให้กับตลาดแรงงานสหรัฐ

อย่างไรก็ดี สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากโควิดนั้น ผู้ที่ได้ผลกระทบมากที่สุดกลับกลายเป็นบริษัทขนาดกลางและเล็ก ดังนั้นกระทรวงการคลังสหรัฐและเฟด ในปีนี้ จึงมุ่งเน้นการกระตุ้นทางเศรษฐกิจโดยให้ความช่วยเหลือไปยังบริษัทขนาดกลางและเล็กแบบเต็ม ๆ โดยปัจจัยนี้ ผมเชื่อว่าจะมีผลกระทบในเชิงบวกที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากต่อหุ้นกลุ่ม Small Cap ของสหรัฐ

Renewable Energy persists

จากการที่นโยบายด้านพลังงานของโจ ไบเดน จะเน้นพลังงานสะอาดด้วยงบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะผ่านสภาคองเกรสที่เป็น Blue Wave ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานทางเลือกยังมีโอกาสจะขึ้นต่อไปได้อีก

โดยไบเดนเสนอให้มีการให้อัพเกรดอาคารที่เป็นตึกสูง 4 ล้านแห่งและบ้านที่อยู่อาศัย 2 ล้านหลังให้เป็นระบบพลังงานสะอาดในอีก 4 ปีข้างหน้า ผ่านการใช้วิธี Rebate ที่รัฐจะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะเท่ากับเป็นการสร้างงานใหม่อีก 1 ล้านตำแหน่ง ทั้งยังมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วยและกังหันลมแบบ Wind Turbine อีก 6 หมื่นหน่วย รวมถึงมีการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐ ทั้งนี้ ไบเดนหวังว่าสหรัฐจะสามารถใช้พลังงานสะอาดแบบเต็มร้อยภายในปี 2035

Tech still rules

เทคโนโลยีสไตล์หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐ ในตอนนี้ หลายคนมองว่ามีอิทธิพลที่รุนแรงเพียงพอเหมือนกับในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งหมายถึงการมาถึงของโทรศัพท์ ยานยนต์ และ ไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ได้ทำให้ระดับผลิตภาพของโลกในตอนนั้นสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ในขณะที่ต้นทุนของการผลิตลดลงอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้อุปสงค์ของสินค้าเพิ่มขึ้นแบบล้นทะลักคลอบคลุมทุกรายอุตสาหกรรม โดยเกณฑ์ 3 ข้อในการที่จะตัดสินว่าเทคโนโลยีใดในขณะนี้ ว่าจะมีโอกาสจะก้าวมาเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตไว้ ดังนี้

1. ต้องสามารถต้นทุนลดลงแบบเยอะ ๆ เพื่อที่จะทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นส่งต่อกันในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นแบบระลอกคลื่น โดยเมื่อเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดผ่านจุดๆหนึ่ง ตลาดของสินค้าและบริการที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวก็จะเติบโตทั้งแนวกว้างและหลากหลายชนิดเป็นอย่างมาก โดยกฎของ Wright ที่ระบุว่ายิ่งสินค้าผลิตเยอะ ต้นทุนก็จะถูกลงอย่างรวดเร็วในการทำความเข้าใจขอบเขตของเทคโนโลยีที่เป็นจุดกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

2. เทคโนโลยีต้องสามารถตัดข้ามรายอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในระดับที่มีนัยต่อเศรษฐกิจ จะทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าหลายส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มีต่อความเสี่ยงด้านวัฏจักรธุรกิจ

3. ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มเพื่อเสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมาย โดยแพลตฟอร์มนี้ จะส่งผลให้เกิดกรณีศึกษาที่จะนำไปใช้งานได้อีกมากอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง

ซึ่งผมมองว่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐถือว่าผ่านหลักเกณฑ์ดังกล่าว และด้วยพลังดังกล่าว ผมมองว่าน่าจะทำให้หุ้น Tech ในสหรัฐ รวมถึงจีนและยุโรปในบางส่วน จะยังคงสามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในปี 2021

Europe is wildcard 

หากจะมีภูมิภาคที่จะมีเซอร์ไพรส์ในเชิงบวก ผมมองว่าน่าจะเป็นยุโรป เนื่องจากภาพในทางภูมิรัฐศาสตร์ถือว่าดีขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก จากการที่ไบเดนขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐ ซึ่งจะทำให้การค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือในมิติต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างหลากหลายใน 4 ปีข้างหน้า รวมถึงโควิดที่รุนแรงในช่วงนี้ น่าจะดีขึ้นในช่วงตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปที่น่าจะดีขึ้นมาในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปก็น่าจะได้อานิสงส์ที่ดีตามไปด้วย

MacroView

ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/651835