‘ทองคำ’ เมื่อสู่ท้ายปี 2020 ยังน่าจะดูดีขึ้น

ถ้าพูดถึงโฟกัสของเศรษฐกิจโลก ณ วันนี้ คงหนีไม่พ้นสหรัฐ ซึ่งจากนี้ไปอีกราว 3 เดือนก่อนสิ้นปี

ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐ คือการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 3 พ.ย. 2020

มาถึงตรงนี้ แม้คะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์จะตามหลังโจ ไบเดน เกือบ 8% ตามโพลล์ แต่ในภาพรวมแล้ว หลาย ๆ คนก็ไม่ได้มองว่าไบเดนจะนอนมาแบบม้วนเดียวจบ เพราะจะต้องมีการดีเบตหรือการโต้วาทีกันระหว่างโจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์ อีก ครั้ง ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งจริง

ถ้ามาพิจารณาการปะทะกันในเรื่องของการดีเบต ว่าใครจะเหนือกว่ากัน หากเทียบง่าย ๆ ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับฮิลลารี คลินตัน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ยังดูดีกว่านิดหน่อย แม้คลินตันเป็นมือดีในการโต้วาที ที่แพ้ก็เพียงคนเดียวคือบารัก โอบามา แต่เธอก็ถือว่าเป็นรองทรัมป์เล็ก ๆ เช่นกัน ส่วนทางไบเดนนั้น เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าไม่ถนัดในเรื่องการดีเบต

แท้จริงแล้ว ไบเดนถือว่าค่อนข้างโชคดีที่รอบนี้มาเจอโควิด-19 เพราะถ้าไม่เจอโควิด แล้วไปรณรงค์หาเสียงแบบเต็มรูปแบบ ไบเดนอาจจะพลาดง่าย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก และการดีเบต 3 ครั้ง จนกระทั่งปลายเดือน ต.ค. นี้ มีโอกาสเหมือนกันที่คะแนนของไบเดนจะโดนเบียดให้ใกล้เคียงกันด้วยความผิดพลาดทางการโต้วาทีของเขา

ดังนั้นสถานการณ์ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์และโจ ไบเดน จากนี้ไปจนถึงอีกประมาณ 40 วัน ขอบอกว่าผลความนิยมน่าจะสูสีกันขึ้นเรื่อย ๆ โดยการสูสีกันนี้ จะทำให้โมเมนตัมของตลาดในสหรัฐจะแปรผันตามกลยุทธ์ใหม่ ๆ ของทั้งคู่

สมมติว่าเมื่อใกล้วันเลือกตั้งแล้ว โจ ไบเดนดูมีโอกาสที่จะชนะ ทางทรัมป์ อาจจะมีหมัดเด็ด อาทิ รีบอนุมัติวัคซีนของสหรัฐให้ผ่านตัว FDA หรือองค์กรว่าด้วยอาหารและยาสหรัฐ ที่ว่าจะเป็นตัวผ่านวัคซีนสามารถฉีดกับคนอเมริกันได้ ให้ผ่านได้ภายในวันที่ 3 พ.ย. เพื่อที่จะเอาคะแนนเสียง

แต่หากโพลล์เกิดให้ว่าทรัมป์มีโอกาสชนะขึ้นมา ในทางกลับกันฝั่งของไบเดนก็อาจจะเล่นเกมลักษณะแรงกับโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยเหมือนกัน ก็จะสร้างความไม่แน่นอนให้กับทรงเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐได้เช่นกัน

มาถึงผลการเลือกตั้งจริงในกรณีที่หากทาง โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งขึ้นมาจริง ๆ

ตลาดก็จะกังวลมากว่า หากไบเดน ขึ้นมาแล้วจะเก็บภาษีตลาดทุน จะเก็บภาษีคนชั้นกลางและบน ตรงนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนของตลาดหุ้นสหรัฐ ก็ยังต้องบอกว่า ณ วันนี้ ไบเดนมีโอกาสชนะหรือดีกว่าทรัมป์นิดหน่อย โดยโอกาสน่าจะอยู่ที่ 55%

ทว่าปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมืองของสหรัฐที่น่าห่วงที่สุด คือการฟ้องร้องกัน โดยทรัมป์จะฟ้องร้องไบเดน ถ้าชนะกันแบบสูสีมาก นั่นคือถ้าทรัมป์เกิดแพ้ แล้วประเด็นเรื่องการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์โดยไม่ต้องเข้าคูหา ซึ่งทรัมป์บอกว่าถ้าการเลือกตั้งสหรัฐใช้การลงคะแนนทางไปรษณีย์ เกิดผลออกมาคะแนนสูสีแล้วการนับคะแนนไม่เสร็จภายใน 1 คืน ตัวเขาจะทำเรื่องฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมของศาลสหรัฐ

แล้วทีนี้ ผู้พิพากษาที่อยู่ในศาลสูงสุดชุดนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้รับการอนุมัติตำแหน่งท้ายสุดจากทรัมป์ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งโอกาสที่ทรัมป์จะชนะการฟ้องร้องดังกล่าวจึงมีอยู่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ล่าสุด การเสียชีวิตของผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนดังอย่าง รูธ บาเดอร์ กินสเบิร์ก ซึ่งทรัมป์กำลังเตรียมจะแต่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดท่านใหม่ขึ้นมาแทนก่อนวันเลือกตั้ง ยิ่งเพิ่มความได้เปรียบให้ทรัมป์ในเรื่องนี้มากขึ้นอีก

ถ้าเกิดกรณีมีการฟ้องร้องกันแล้วจบที่ทรัมป์ชนะคดี ตลาดหุ้นก็ยังจะปั่นป่วนมาก ๆ ค่าเงินดอลลาร์จะผันผวนมาก ตรงนี้เป็นความเสี่ยงใหญ่ที่สองในปีนี้ และตรงนี้ถือเป็นจุดเสี่ยงที่เปราะบางในตลาดหุ้นของสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์ ทว่าเป็นผลดีต่อราคาทองคำ

สำหรับคำถามที่ว่า เศรษฐกิจตลาดหุ้นโลกก่อนการเลือกตั้งสหรัฐกับหลังเลือกตั้ง จะต่างกันไหม?

ในภาพรวม จากสภาพเศรษฐกิจสหรัฐและโลกในตอนนี้ มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐจากวันนี้ไปจนถึง 3 พ.ย. ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นเล็กน้อย โดยน่าจะยังประคองตัวไปได้ แม้จะมีย่อลงเป็นพัก ๆ เพราะถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ทั้งดัชนีหุ้นดาวโจนส์ หุ้นเอสแอนด์พี และหุ้นแนสแด็ก คืออาวุธหลักในการหาเสียงของทรัมป์ โดยเขาโจมตีว่าถ้าไบเดนชนะ ตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องตกแน่นอน ซึ่งกลยุทธ์เด็ดของทรัมป์ก็คือพยุงตัวตลาดหุ้นไว้จนกระทั่งอย่างน้อยก่อนเลือกตั้งใหญ่สหรัฐ แล้วมาลุ้นกันอีกทีว่าจะชนะหรือแพ้

อย่างไรก็ดี หลังวันที่ 3 พ.ย. ตลาดหุ้นของสหรัฐก็น่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอนสูง และสมมติว่าเกิดการฟ้องร้องเรื่องผลการเลือกตั้งขึ้นมาจริง ๆ ตลาดหุ้นก็คงจะลงค่อนข้างแรง ซึ่งตรงนี้จะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ

ดังนั้นหลังวันที่ 3 พ.ย. โดยส่วนตัวผมมองว่าทองคำจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจกว่าในตอนนี้

เนื่องจาก 1. ถึงแม้ว่าไบเดนชนะ คนก็จะต้องมองหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยเข้ามามีไว้ในพอร์ต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนสถาบันจะต้องหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพื่อกันความไม่แน่นอนจากนโยบายของไบเดนต่อตลาดทุน ดังนั้น จึงจะน่าจะมีการช้อนซื้อทองคำกันมากขึ้น และ 2. แน่นอนว่าทรัมป์เองคงจะไม่ยอมให้ไบเดนชนะง่าย ๆ โอกาสฟ้องร้องจึงมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดขึ้นถ้าเกิดว่าไบเดนชนะขึ้นมา และการฟ้องร้องย่อมจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลง จากการที่ขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง และราคาทองคำก็น่าจะขึ้นมาเพื่อรองรับความไม่แน่นอนนี้

ดังนั้น ช่วงหลัง 3 พ.ย. ผมจึงมองว่ามีโอกาสสูงที่ทองคำจะดูน่าสนใจ ในแง่ของโอกาสของการลงทุน

โดยสรุป สำหรับในภาพใหญ่จนถึงสิ้นปีนี้ ผมมองว่าจากนี้ไปจนถึงต้นเดือน พ.ย.นี้ ตลาดหุ้นสหรัฐจะเป็นหัวหอกของตลาดหุ้นโลก จากปัจจัยขับเคลื่อนพื้นฐานคือการเลือกตั้งสหรัฐ ตั้งแต่การดีเบตทั้ง ครั้งจนถึงวันที่ พ.ย. โดยถ้าทรัมป์นำในโพลล์หุ้นก็น่าจะขึ้น ในขณะที่หากทรัมป์ตามไบเดน หุ้นก็อาจจะลงนิด ๆ และทองคำขึ้นเล็กน้อย 

ทว่าหลัง 3 พ.ย.ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ แพ้เชื่อว่ามีการฟ้องร้อง ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะมีการโครมลงมา และดอลลาร์อาจจะอ่อนค่าลงค่อนข้างเยอะ และราคาทองคำน่าจะกลับมาขึ้นอีกรอบ

จึงน่าจะพอฟันธงได้ว่า ยกเว้นกรณีเดียวเท่านั้นที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งแบบเด็ดขาด ซึ่งดูแล้วมีโอกาสอยู่ไม่มากนัก จะเห็นได้ว่า Scenario ที่เหลือ ล้วนแล้วแต่จะบอกกับเราว่า “ทองคำ” กำลังจะเป็นสินทรัพย์ที่ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ในช่วงท้ายของปี 2020 ครับ

MacroView

ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/651187