โลกแห่ง Green Economy ของ โจ ไบเดน

โจ ไบเดน ต้องการให้สหรัฐเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ ให้ธุรกิจใหม่ ๆ มาสู่รูปแบบเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy ตามกระแสหลักของโลก

หนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่ได้ประกาศออกมา คือ แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy ที่ไบเดนต้องการให้สหรัฐเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจให้ธุรกิจใหม่ ๆ มาสู่รูปแบบดังกล่าว บทความนี้ จะขอพาท่านมาทำความเข้าใจในเรื่องที่จะเป็นกระแสหลักของโลก อย่างน้อยในอีก 4  ปีข้างหน้า

ก่อนที่จะมารู้จักแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว จะขอพาท่านผู้อ่านมารู้จักแนวคิดด้านการวัดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมของโลก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งโฟกัสของไบเดน ดังนี้

เริ่มจากคำว่า ความเสี่ยงด้านกายภาพ หรือ Physical Risks คือความเสี่ยงที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอันตรายจากภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงกับสภาพที่อ่อนแอของมนุษย์และระบบธรรมชาติ โดยใช้มาตรวัดความเสียหายในเชิงเศรษฐกิจและการเงินอันเนื่องมาจากความถี่และความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่อากาศมีสภาพความแปรปรวนมากยิ่งขึ้น

รวมถึงผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาทิ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของระดับปริมาณน้ำฝน ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งตราสารทางการเงินและอสังหาริมทรัพย์

มีการคาดการณ์กันว่า ยังมีความเสี่ยงและความเสียหายที่ยังไม่ได้มีการทำประกันไว้ถึงร้อยละ 70 อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม

ภายใต้บรรยากาศที่ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้ดิน อาทิ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ถูกต่อต้านจากกลุ่ม Green ไม่ให้ถูกนำขึ้นมาใช้ เนื่องด้วยจะทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

ในส่วนของทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถนำขึ้นมาใช้นี้ เรียกกันว่า Stranded Asset ซึ่งส่วนของสินทรัพย์นี้ แม้จะเป็นสินทรัพย์ในงบดุลของบริษัทที่เป็นเจ้าของสัมปทาน ทว่าไม่สามารถนำมาใช้ได้ จนบางส่วนจะด้อยค่าลง รวมถึงอาจกลายเป็นส่วน Liabilities เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำลายซึ่งมีมูลค่าถึง 1-15 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว โดย ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือ Transition Risks คือความเสี่ยงที่เกิดจากการความเสียหายของเศรษฐกิจทุกอุตสาหกรรมจาก Stranded Asset

โลกแห่ง Green Economy ของ โจ ไบเดน

ทั้งนี้ หากเราไม่สนใจประเด็นปัญหาภาวะโลกร้อนหรือ Climate Change ในตอนนี้ โดยเห็นว่าจะสามารถมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในอนาคตอันใกล้ในการจัดการปัญหาโลกร้อน โดยยอมให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นถึง 4 องศา หรือกรณี Business-as-usual ดังเช่นกรณีด้านขวาในรูป ในกรณีนี้ จะมีระดับความเสี่ยง Physical Risk อยู่สูง ในขณะที่จะมีระดับความเสี่ยง Transition Risk ที่ต่ำ

ในทางกลับกัน หากเราเข้มกับปัญหาภาวะโลกร้อน จนยอมให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเพียง 1.5 องศา หรือกรณี Rapid Transition ในกรณีนี้ จะมีระดับความเสี่ยง Physical Risk อยู่ต่ำ ในขณะที่จะมีระดับความเสี่ยง Transition Risk ที่สูง

ทั้งนี้ งานศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ได้ศึกษาผลกระทบของภาวะที่โลกเราร้อนขึ้น 4 องศา จะส่งผลต่อจีดีพีสหรัฐในเชิงลบระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 5.6 ซึ่งจะเกิดขึ้นแบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานแล้วก็มาถึงศัพท์คำใหม่ที่ชื่อ Green Swan ซึ่งหมายถึง Black Swan ในยุคที่เกิดจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change ซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ ดังนี้

1. ปฏิกิริยาระหว่าง Physical Risk และ Transition Risk ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงสุดๆหรือ Extreme Events แบบไม่เป็นเชิงเส้นหรือ Non-linearity โดยที่ข้อมูลในอดีตไม่สามารถนำมาคาดการณ์ Green Swan ได้

2. ระดับความเสียหาย อยู่ในระดับที่มากกว่าความเสียหายทางการเงิน โดยอาจทำให้ถึงกับสูญเสียซึ่งมนุษยชาติได้

3. ความซับซ้อนของ Climate Change อยู่ในระดับที่เป็นทวีคูณ ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิรัฐศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ

สำหรับ Green Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียวในความหมายของทีมเศรษฐกิจของโจ ไบเดน หมายถึง การสร้างสังคมเศรษฐกิจใหม่ (New Eco-System) ผ่านการให้แหล่งเงินของรัฐบาลสหรัฐอย่างเต็มที่ต่อผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียวรายใหม่ ๆ ในสหรัฐ ซึ่งนับได้ว่า ณ ช่วงเวลานี้ ถือเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากน่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี ทำให้รัฐบาลสหรัฐสามารถก่อหนี้ได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับจีดีพี โดยไม่กระเทือนต่อเสถียรภาพทางการคลังมากนัก

โดยที่ธุรกิจดังกล่าวจะหันมาใช้แหล่งพลังงานทางเลือกในการผลิต ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันระหว่างแหล่งพลังงานทางเลือกต่าง ๆ แทนการใช้น้ำมันหรือถ่านหินดังเช่นในอดีต โดยที่สินค้าและบริการแบบ Green Economy นั้นมาจากความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆโดยแท้จริง แทนที่จะมาจากโรงงานที่ผลิตสินค้ามาจำหน่ายของเถ้าแก่ ซึ่งยังทำหน้าที่เป็นผู้คาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภคไปเสียเองดังเช่นในอดีต

ซึ่งการเปลี่ยนแนวคิดทางธุรกิจดังกล่าว นอกจากจะส่งผลดีต่อการตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแล้ว ยังทำให้ไม่มีการผลิตแบบที่เกิดอุปทานส่วนเกินอย่างเมื่อก่อน อีกทั้งยังจะสามารถช่วยสร้างโลกใหม่ให้มีสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและดีขึ้นอีกด้วย

MacroView

ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/651634