มันเดล & วิลเลียมสัน: เจ้าพ่อ ‘เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ’

เราเพิ่งสูญเสีย 2 นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลก ‘โรเบิร์ต มันเดล’ ‘จอห์น วิลเลียมสัน’ ผู้มีอิทธิพลต่อวงการเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศอย่างมาก

ขอเริ่มที่ โรเบิร์ต มันเดล นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 1999 ชาวแคนาดา วัย 88 ปี ผมเชื่อว่าไม่มีนักศึกษาที่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ท่านใดที่ไม่เคยได้ยินชื่อของโรเบิร์ต มันเดลมาก่อน เนื่องจากโมเดลของมันเดล-เฟลมมิ่ง เป็นกรอบในการวิเคราะห์ของบทเรียนเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศของตำราเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ทุกเล่ม โดยมันเดลได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อการวิเคราะห์ด้านนโยบายการเงินและการคลังภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในรูปแบบต่าง ๆ และ ระบบเงินตราที่เหมาะสมภายใต้เขตเศรษฐกิจหนึ่ง ๆ (Optimum currency area)

โดยยุค 1960-70 ถือเป็นจุดสุดยอดของมันเดลในเชิงวิชาการ เมื่อเขาได้ประยุกต์โมเดลทางเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ที่ชื่อว่า IS-LM ของโรเบิร์ต ฮิกส์ในการอธิบายระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นเศรษฐกิจแบบเปิด โดยข้อสรุปของเขาที่ว่า ระบบอัตราแลกเลี่ยนแบบคงที่ นโยบายการเงินที่เป็นอิสระ และการไหลของเงินทุนแบบเสรี นั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันได้ หรือที่เรียกว่า Impossible Trinity โดยสิ่งนี้ ได้กลายมาเป็นคำอธิบายว่าเหตุใด เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ หลังปี 1970 ที่เมื่อสนธิสัญญา Bretton Woods สิ้นสุดลง จึงพาเหรดกันใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว เมื่อปล่อยให้เงินทุนไหลเข้าออกแบบเสรีและธนาคารกลางมีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงิน

นอกจากนี้ สิ่งนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของการก่อตั้งธนาคารกลางยุโรป พร้อมกับระบบรวมศูนย์ทางการเงินหรือ Monetary Union ของยุโรป ภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่  ซึ่งเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากผู้นำฝรั่งเศส

ในช่วงท้ายของเส้นทางการทำงาน มันเดลได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยเขาอยากให้โลกเรามีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่มีสกุลเงินเดียวเสียด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญ มันเดลถือเป็นปรมาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น รูดิเกอร์ ดอร์นบุช อาจารย์ที่ MIT จาค็อบ แฟรงเกิล อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ IMF และผู้ว่าการธนาคารกลางอิสราเอล ไมเคิล มุสสา อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ IMF และคาร์เมน เรนฮาร์ท หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ท่านปัจจุบันที่ธนาคารโลก

มาถึงจอห์น วิลเลียมสัน กันบ้าง นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ วัย 83 ปี เจ้าของวลี Washington Consensus ที่ติดปากชาวโลกในเวลาต่อมา

วิลเลียมสัน ในวัยเด็กอยากจะเป็นวิศวกรโยธา ทว่าครูของเขาได้แนะนำให้หันมาเรียนเศรษฐศาสตร์แทนเนื่องจากคณิตศาสตร์ที่ไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ หลังจากที่ได้แรงบันดาลใจจากวิลเลียม ฟิลลิปส์ นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นผู้ค้นคิดความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน หรือ เส้นโค้งฟิลลิปส์ จนกระทั่งมาจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน รุ่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ระดับตำนาน อย่างวิลเลียม บาวโม และ ออสการ์ มอร์เกนสเติร์น  จนกระทั่งได้กลายมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ถือว่าทรงอิทธิพลท่านหนึ่งต่อการเมืองอังกฤษ

ว่ากันว่าความละเอียดด้านการนับและวิเคราะห์ข้อมูลถือเป็นจุดเด่นของเขาในวิชาชีพ เนื่องจากงานอดิเรกในวัยเด็กของเขาคือวิชานับสปีชีส์ของนกเช่นเดียวกับคุณพ่อของเขา อันเป็นที่มาของการแนะนำให้ประเทศต่าง ๆ ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Crawling Peg หรือค่อย ๆ ให้อัตราแลกเปลี่ยนขยับไปทีละนิด แทนที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงแบบเสรี เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

หลังจากยุคทศวรรษ 1970 ที่ประเทศในละตินอเมริกาได้กู้เงินจากแบงค์ต่าง ๆ ในสหรัฐ และเริ่มส่อแววว่าจะเบี้ยวหนี้ รัฐบาลสหรัฐจึงหันมาใช้องค์กรวิจัยให้ออกบทความที่แนะนำหลักการให้ประเทศลูกหนี้นำไปปฏิบัติ ซึ่งวิลเลียมสันได้เป็นผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ โดยได้แนะนำให้หันเหจากการใช้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมมาเน้นด้านการศึกษาและสุขอนามัยแทน ให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบที่สามารถแข่งขันได้ ทว่าไม่ใช่ปล่อยให้ลอยตัวแบบเสรี ให้เศรษฐกิจมีการเปิดกว้างด้วยการยอมรับการนำเข้าและการลงทุนทางตรง ทว่าไม่ใช่ปล่อยให้การไหลออกเงินทุนแบบเสรี ให้การผ่อนคลายกฎเกณฑ์หมายถึงยกเลิกการปกป้องอุตสาหกรรมที่อุ้มหรือช่วยเหลืออยู่ ไม่ใช่การยกเลิกมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและแรงงาน ทั้งหมดคือสิ่งที่เรียกว่า Washington Consensus ที่ติดปากชาวโลกในเวลาต่อมา อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่วิลเลียมสันย้ำว่า เขาไม่ได้เป็นคนเสนอคือ การรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่หลายคนกล่าวว่า IMF นำมาใช้แบบผิดทางในยุคต้มยำกุ้งของบ้านเรา

นอกจากนี้ หลายคนมักจะโยงแนวคิดดังกล่าวของวิลเลียมสันกับแนวทางนโยบายของการปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นไปตามกลไกตลาด โดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาลของโรนัลด์ เรแกนและมาร์กาเร็ต แธชเชอร์ ซึ่งต่อมาถูกมองว่ามีส่วนทำให้เกิดฟองสบู่ต่อเศรษฐกิจโลก ว่าทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน

ท้ายสุด วิลเลียมสันถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความคิดล้ำหน้าในการเสนอให้มีการเก็บภาษีก๊าซคาร์บอนในปี 2012 ซึ่ง ณ วันนี้ หัวข้อ Climate Change  ได้รับความสนใจในลำดับต้น ๆ ของวงการเศรษฐศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว

MacroView

ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/652393