monkey-money-7-things-make-stock-hight

เมื่อเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว นักลงทุนทุกคนคงอยากที่จะสัมผัสประสบการณ์การได้กำไรจาก “หุ้นเด้ง” หรือหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงระดับ 100% (บางตัวขึ้นมาเป็นสิบเด้งก็ยังมี) แต่การจะหาหุ้นที่ขึ้นได้ถึงขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เรามาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้หุ้นขึ้นได้เกิน 100%

1. กำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ

มีคำกล่าวว่า พื้นฐานกิจการคือเจ้ามือตัวจริง นี่คือคำพูดที่ถูกต้อง เพราะเป็นไปได้ยากที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องหากปราศจากพื้นฐานกิจการที่ดี (ส่วนหุ้นปั่นที่ขึ้นได้แรงๆอันนั้นมาจากการลากราคาของเจ้ามือ) โดยปัจจัยสำคัญที่สุดคือ “กำไรสุทธิ” ต้องเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่นหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งการเติบโตตามปกติ (Organic Growth) หรือการเติบโตที่ไม่ปกติ (Inorganic Growth) เช่น มาจากการซื้อกิจการ และกำไรสุทธิ ควรจะโตอย่างต่อเนื่อง เช่น สามไตรมาสติดต่อกัน

2. มีปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคหรือนโยบายภาครัฐหนุน

หนึ่งในแรงผลักดันราคาหุ้นที่สำคัญก็คือ ปัจจัยทางด้านมหภาค เช่น นโยบายภาครัฐที่อาจเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของบางอุตสาหกรรม หรือหุ้นรายตัว เช่น ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของ TASCO เนื่องจากนโยบายนำยางมะตอยมาใช้ทำถนนของภาครัฐ ซึ่งมีเพียงแค่ TASCO เท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องวิเคราะห์ว่านโยบายมหภาคใดบ้างที่จะส่งผลบวกต่อกิจการ

3. เกิด Event Drive ที่สำคัญเฉพาะกิจการเกิดขึ้น

เช่น ถูกควบรวมกิจการหรือเทคโอเวอร์ โดยผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามามีส่วนทำให้พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงในทางบวกเช่น กลุ่มทุนต่างชาติที่เข้ามาช่วยขยายตลาดให้กว้างขึ้น ถ้าหากการ Synergy เกิดขึ้นสำเร็จ ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว อย่างเช่นกรณีของธนาคารธนชาตกับนครหลวงไทยที่ควบรวมกิจการกัน ทำให้หุ้น TCAP ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์

4. ราคาหุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้นในไทม์เฟรม Week, Month

นอกจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว กราฟเทคนิคยังเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหุ้นจะเป็นขาขึ้นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกราฟในไทม์เฟรมใหญ่อย่างรายสัปดาห์ และรายเดือนจะยืนยันการเป็นขาขึ้นได้ชัดเจนที่สุด โดยอินดิเคเตอร์ที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ก็คือ MACD รวมถึงเส้นค่าเฉลี่ย EMA และเส้น Trend Line ระยะยาว ถ้าหุ้นพื้นฐานดีที่เราเล็งไว้ เกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิคระยะยาวขึ้นมาจะต้องจับตาให้ดี

5. เป็นหุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลาง

หุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่หรือ Blueship แม้จะมีกิจการที่แข็งแกร่ง แต่ถือเป็นบริษัทที่เติบโตมาได้ระดับหนึ่งแล้ว โอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมีนัยยะสำคัญหรือระดับเลขสองหลัก ต้องยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก การที่จะได้ผลตอบแทนในระดับร้อยเปอร์เซ็นต์จึงต้องลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเท่านั้น แต่ต้องระวังอย่างมากเพราะบริษัทเหล่านี้ หากลงทุนผิดในบริษัทที่ไม่เติบโต โอกาสที่จะเสียหายมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่มีสูงกว่า

6. เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างธุรกิจอย่างมีนัยยะสำคั

เช่น เข้าไปรุกธุรกิจใหม่ที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่าธุรกิจหรือต่อยอดจากธุรกิจเดิม เช่น เดิมผลิตสินค้าทั่วไป เปลี่ยนมาเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้ Net Margin เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลต่อกำไรสุทธิ ยกเว้นการเข้าไปทำธุรกิจใหม่ตามกระแสโดยขาดความชำนาญ เช่น ธุรกิจพลังงานทดแทน ที่เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรมากกว่าแบบนั้นอาจทำให้ราคาพุ่งขึ้นระยะสั้นแต่ไม่มีความยั่งยืน

7. มี “เจ้ามือ” อุดหนุน

ต้องยอมรับตรงๆว่า หุ้นในตลาดที่ปรับตัวขึ้นมาได้ ย่อมต้องมี “เจ้ามือ” คอยคุมราคาอยู่ ซึ่งเจ้ามือก็มีหลายรูปแบบ ไม่ได้หมายความถึงนักลงทุนรายใหญ่ที่หวังเข้ามาปั่นราคาเพียงอย่างเดียว เช่น อาจเป็นนักลงทุนสถาบันที่พร้อมใจกันเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงและถือยาว ก็เรียกได้ว่าเป็นเจ้ามือได้เหมือนกัน

หลักการของเจ้ามือ (กรณีที่ไม่ได้ปั่นแบบมั่วๆประเภทลากสูงๆแล้วทุบ) จะทำหน้าที่พยุงราคาให้ยังคงเป็นขาขึ้นได้ต่อเนื่อง เช่น ทำให้ราคาเกาะเส้น EMA ขาขึ้นไปได้เรื่อยๆ หรือชวนกันเข้ามาเป็นกลุ่มดูดสภาพคล่อง (Free Float) เป็นต้น การมีเจ้ามือจะเป็นหลักประกันได้ระดับหนึ่งว่าหุ้นจะสามารถขึ้นไปได้ต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หุ้นของบริษัทใดบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระดับร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป การจะหาเพชรในตมไม่ใช่เรื่องง่าย