trade-setup-นักลงทุนรายย่อย

นักลงทุนรายย่อยทั่วไปมักจะไม่ได้วางแผนการเทรดอย่างเป็นระบบมากนัก อาจจะแค่เทรดตามสไตล์ที่ตัวถนัด เช่น แนววีไอหรือเทคนิค และยังตั้งเป้าหมายในการลงทุนตามความต้องการพอใจของตัวเอง เช่น ปีนี้ขอ 10% หรือปีนี้ขอแค่เอาชนะตลาด ทั้งที่จริงแล้ว นักลงทุนแต่ละคนจะมีวิธีการสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่ต่างกันออกไป และไม่ใช่แค่มาจากความต้องการหรือสไตล์ส่วนตัว แต่จะต้องมาจาก “ความคาดหวังจากผลตอบแทน” ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันสามระดับ และแต่ละระดับจะมีวิธีการเทรดหรือ Trade Setup ที่ต่างกัน

1.) ลงทุนเพื่อการเกษียนอายุหรือเพื่อออมเงิน

ผู้ที่ตั้งเป้าไว้แบบนี้ จะคาดหวังผลตอบแทนที่ระดับตั้งแต่ 5% จนถึง 15% ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนขั้นต่ำของการซื้อหุ้นรับเงินปันผลและลงทุนเพื่อเอาชนะผลตอบแทนเฉลี่ยของ SET Index ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10% บวกลบ

การตั้งเป้าหมายแบบนี้ จะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม คือไม่เสี่ยงมาก เหมาะสำหรับคนทำงานประจำ มนุษย์เงินเดือน ที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อและเงินฝากธนาคารและเพื่อนำไปใช้เกษียนในอนาคต แต่ไม่มีเวลามานั่งเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินจะปฎิบัติได้จริง เพราะตลาดหุ้นได้พิสูจน์แล้วว่าหากลงทุนระยะยาว ทุกคนสามารถทำกำไรได้ทั้งหมด

Trade Setup ที่เหมาะสมกับผู้ที่ตั้งเป้าหมายระดับนี้ คือ การออมหุ้นหรือวิธีแบบ Dollar Cost Average สะสมหุ้นพื้นฐานดีระยะยาว หวังผลระยะ 5 ปีขึ้นไป เพราะโจทย์ของคนกลุ่มนี้คือไม่ต้องการรับความเสี่ยงมาก หรือหากต้องการเสี่ยงขึ้นเล็กน้อยก็สามารถใช้หน้าเทรดแบบ Run Trend หรือถือหุ้นยาวในระยะไม่เกิน 1 ปี ก็สามารถรับผลตอบแทนได้ตั้งแต่ระดับ 30-100% แต่จะไม่ All-In ในหุ้นเพียงตัวเดียว เพราะเสี่ยงเกินไป

2.) ลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม

เป็นการคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น จุดประสงค์ในการใช้เงินจะมีระยะสั้นลงคือรายไตรมาสหรือหลักเดือน อาจจะนำผลตอบแทนจากตลาดหุ้นมาใช้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือเพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเองอย่างเที่ยวต่างประเทศ ซื้อสินค้าราคาแพง เป็นรายได้เสริมจากงานประจำหรือธุรกิจส่วนตัว โดยที่ยังคงไม่ออกจากงาน จึงยังไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ วิธีการนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการเทรดขึ้นอีกระดับ โดยสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ 5% ต่อเดือนหรือ 60% ต่อปีได้

เมื่อต้องการผลตอบแทนมากขึ้น Trade Setup จะเปลี่ยนไป โดยสามารถใช้วิธี Run Trend คาดหวังผลตอบแทน 30-100% และสามารถใช้วิธีแบบ Swing Trade หรือการเล่นรอบของหุ้นในระยะสัปดาห์ไม่เกินหนึ่งเดือน หรือจะหาหุ้นที่มีลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาแบบ Channel Trade ซึ่งเป็นสไตล์เทรดในกรอบราคาที่ชัดเจน ซื้อที่แนวรับขายที่แนวต้าน สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้มากอาจจะใช้วิธี DayTrade แบบทำการบ้านล่วงหน้าได้เช่นกัน

3.) ลงทุนเพื่อเป็นรายได้หลัก

สำหรับผู้ที่เป็น Full-Time Trader หรือหาเลี้ยงชีพด้วยการเทรดเพียงอย่างเดียว ไม่ทำงานอย่างอื่น Trade Setup หลักที่ใช้จะต้องเป็น DayTrade ทั้งแบบทำการบ้านล่วงหน้าและหาหุ้นหน้างานเมื่อตลาดเปิด (Scalping) และใช้วิธีแบบ Swing Trade ควบคู่กันไป เนื่องจากคนกลุ่มนี้ต้องการกระแสเงินสดมาใช้จ่ายในแต่ละเดือน จึงต้องเน้นสร้างกำไรให้เร็วและรอบเล็ก ขณะเดียวกันยังต้องใช้วิธี Run Trend โดยดึงกำไรสะสมออกมาถือหุ้นระยะยาวเพื่อที่จะสร้างพอร์ตให้โตเร็วไปพร้อมๆกัน ผลตอบแทนที่คาดหวังต่อเดือน สามารถทำได้ตั้งแต่ 10-20% ต่อเดือน เพราะมีเวลาในการติดตามตลาดได้อย่างใกล้ชิด

เห็นได้ว่า ระดับความคาดหวังของผลตอบแทนที่สูงขึ้นจะนำไปสู่ Trade Setup ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อที่จะสร้างกระแสเงินสดให้ได้เร็ว สำหรับมือใหม่อาจเริ่มต้นที่ Channel Trade เนื่องจากไม่เสี่ยงสูง และเมื่อต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นจะต้องใช้วิธี Sniper Trade หรือการเทรดที่เน้นหวังผลตอบแทนสูง ทั้งวันอาจจะซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวแต่ได้ผลตอบแทนระดับ 10% ขึ้นไป ส่วนผู้ที่พัฒนาฝีมือได้ระดับหนึ่งแล้ว สามารถเทรดแบบ Scalping หรือเทรดได้กำไรในทุกสภาวะตลาดทั้งขาขึ้นและขาลงได้ โดยเทรดสินค้าอย่าง TFEX, DW

แนะนำว่าผู้ที่ต้องการเป็น Full-Time Trader จะต้องมีพอร์ตตั้งแต่ระดับ 1 ล้านบาท ถึงจะเพียงพอในการสร้างกระแสเงินสดที่จะนำมาใช้เลี้ยงตัวเอง และควรจะต้องมีอัตราการเทรดที่หวังผลได้ตั้งแต่ 70% ขึ้นไป (เทรด 10 ครั้ง กำไร 7 ครั้ง) ถึงจะอยู่รอดได้

สรุปคือ ผลตอบแทนที่คาดหวังและอาชีพที่ทำอยู่ จะเป็นตัวกำหนด Trade Setup ที่เหมาะสม นักลงทุนรายย่อยควรจะสำรวจความต้องการและความพร้อมของตัวเองว่าต้องการผลตอบแทน “เท่าไร” จากตลาดหุ้น โดยไม่ฝืนตัวเองจนเกินไป เมื่อได้ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จะกลับไปสู่การแก้สมการหาวิธีการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมได้ในที่สุด

ที่มาบทความ : http://www.posttoday.com/economy/invest/476295