ผ่านครึ่งปีไปแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวถือว่าแย่กว่าที่นักวิเคราะห์และทางการคาดไว้ก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากนะครับ

GDP Growth ที่แรกเริ่มเลยรัฐบาลชุดนี้ตั้งธงไว้ที่ 4-5% แต่มาวันนี้ เอาแค่ให้พ้น 3% ก็อาจจะทำได้ยากเลย ทั้งนี้ ตัวเลขที่ถือว่าต่ำกว่าเป้าไปเยอะมากๆก็คือ ตัวเลขการส่งออก

Thai Export

จากกราฟด้านบนจะเห็นว่า ตัวเลขส่งออกของไทยติดลบมา 6 เดือนติดต่อกัน (เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า) เรียกได้ว่า อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ

ไปดูตัวเลขเงินเฟ้อก็พบว่า ชะลอตัวลงมาตั้งแต่ต้นปี 2014 ก่อนที่จะมีรัฐประหาร และก่อนที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวลงมาแรงกว่า 40% จนถึงตอนนี้ CPI ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่ดูแล้ว เงินเฟ้อจะกลับไปที่ระดับก่อนปี 2014 ได้นั้น คงต้องใช้เวลาเหมือนกันถ้าราคาน้ำมันไม่ขยับขึ้น

CPI

 

แต่ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่พร้อม ผมมองว่าเป็นความเสี่ยงครับ เงินเฟ้อที่เกิดจาก Cost Push นั้น เราไม่อยากได้นะ

ฟากรัฐบาล ก็พบว่า เบิกจ่ายงบประมาณช้ากว่าแผนเล็กน้อย แต่ถึงจะตามแผนไป ผมก็มองว่าช้าไปแล้วที่จะดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาใน 3-6 เดือนข้างหน้า ยกเว้นเป็นมีแผนการลงทุน Mega Project ขนาดใหญ่ ขยาย Infrastructure ของประเทศเพื่อปลดล็อคศักยภาพในการเติบโตของประเทศ

อ้าว เฮ้ย ไม่เหลืออะไรดีซักอย่าง แล้วปีนี้ GDP Growth ไทยจะโตด้วยอะไรละ?

หลายคนก็บอกว่า คงต้องไปฝากไว้ที่ภาคการส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุด นั้นเป็นสาเหตุให้การประชุมกนง. ครั้งที่ผ่านมา นอกจากจะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง ที่ประชุมก็ยังออกมาตรการผ่อนปรนเงินทุนไหลออก เพิ่มโควต้าโอนเงินออกนอกประเทศให้กับนักลงทุนในไทย ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าทันที ซึ่ง ณ ตอนนี้ ก็อ่อนค่ามาอยู่ที่ 34.24 บาท/ดอลล่าร์ และมีทีท่าว่าอาจจะไปถึง 35 บาท/ดอลล่าร์ได้ภายในปีนี้ ถ้าสหรัฐฯเล็งว่าจะขึ้นดอกเบี้ยจริงๆปีนี้

THB

แนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่าแบบนี้ ที่ดีก็คือ “ส่งออก” และอีกที่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ พระเอกของเรา “ภาคการท่องเที่ยง” นั้นเอง

ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะครับ เมื่อมองสถานการณ์ปัจจุบัน ผมก็ไม่มั่นใจว่า การท่องเที่ยวไทย จะช่วยให้อะไรในครึ่งปีหลังดูดีขึ้นจริงหรือ ด้วยเหตุผล 5 ข้อด้วยกัน

1. รัฐบาลคาดการณ์ปีนี้นักท่องเที่ยวจะเข้าไทยปีนี้ 28 ล้านคน (จนถึงเดือน พ.ค. เข้ามาแล้ว 12 ล้านคน ถามว่าเป็นไปได้ไหม ก็อาจเป็นไปได้ครับ แต่… ภาคการท่องเที่ยวของไทย คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เพียงแค่ 10% เท่านั้น ดังนั้น ต่อให้โตขึ้นจริงตามเป้าก็ดึง GDP ภาพใหญ่ขึ้นได้ไม่เยอะอยู่ดี

2. ไทยเราตรวจเจอผู้ป่วยไวรัส MERS คนแรกเมื่อ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ถึงแม้จะดูเหมือนว่าควบคุมได้ แต่ความระมัดระวังของทางการ และความไม่สบายใจของนักลงทุนโดยรวม ย่อมทำให้จำนวนนักท่องเทียวโดยรวมทั้งโลกลดลงในระยะสั้นเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน

3. ICAO ทำการปรับลด Airline safety standard rating ของไทย เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับฟิลลิปปินส์ และอินโดฯ ในปี 2007 และ 2008 ตามลำดับ ซึ่งครั้งนั้น FAA ของสหรัฐฯ ก็สั่ง downgrades ตามด้วยทันที ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยว และธุรกิจการบินของ 2 ประเทศนั้นชะลอตัวลงชั่วคราว ตอนนี้เครื่องบินแบบ Charter Flight ไปญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ถูกยกเลิกนะครับ บางคนอาจมองว่า ก็ดี คนไทยจะได้เที่ยวไทยมากขึ้น เพราะไปเมืองนอกได้น้อยลง ก็ว่ากันไป แต่ในสายตาของต่างชาติเนี่ย พอขึ้นชื่อว่าไม่ได้มาตรฐาน มันย่อมกระทบกับความรู้สึกให้กังวลอยู่แล้วละ ถึงแม้จริงๆ มันอาจเป็น Technical Problem ก็ตาม

4. ได้มีโอกาสคุยกับนักวิเคราะห์ต่างชาติที่สิงคโปร์ กับเพื่อนที่เป็น Private Banker ที่ฮ่องกง พบความเห็นที่ตรงกันว่า เหล่านักลงทุนต่างชาติ ไม่ Happy กับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเท่าไหร่ และภาพที่สื่อออกไปในหลายๆครั้ง คนที่สหรัฐฯ ที่ยุโรป ก็มองว่า มันเป็นความเสี่ยง ไม่กล้ามาลงทุน ไม่กล้ามาเที่ยว ยังมีอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ตรงนี้มันห้ามเขาไม่ได้นะครับ แต่เราก็ต้องอธิบาย และทำให้เขาเข้าใจ (ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกนั้นละ)

5. ความผันผวน และผลขาดทุนอย่างหนักในตลาดหุ้นจีน ส่งผลต่อเงินในกระเป๋า และกระทบจิตใจคนจีนพอสมควร อย่าลืมว่า นักท่องเที่ยวจีนมาไทย ตอนนี้มีสัดส่วนสูงสุดถึง 29% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ดังนั้นเดี๋ยวเรามาดูตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ก็จะพอเห็นครับ ว่าที่ผมกังวลนี้ จะเป็นจริงหรือเปล่า ซึ่งที่ผมเดาไว้แบบนี้ก็เพราะ ตั้งแต่ที่ประเด็นหนี้กรีซอยู่ในความกังวลอีกครั้งหลังนายก Tripras ขึ้นมาบริหารประเทศนั้น ชัดเจนเลยว่า นักท่องเที่ยวในยุโรป เดินทางมาเที่ยวไทยลดลงมาตลอดตั้งแต่ต้นปี แต่ไม่รู้ว่า พอกรีซยังอยู่ในยูโรโซนดี คนที่โน้นจะกลับมาเที่ยวไทยหรือเปล่า

แต่หากย้อนดู Timeline ย้อนหลังกับนักท่องเที่ยวที่มาไทย จะพบว่า ถือเป็นจุดแข็งเศรษฐกิจไทยจริงๆครับ ไม่ว่าผ่านเหตุการณ์อะไรมาก็แล้วแต่ แต่นักท่องเที่ยวก็ยังอยากมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นทุกปี เพียงแต่ปีนี้ ปัจจัยมันเยอะกว่าเดิม เลยเสี่ยงกว่าเดิม

TT

เห็นไหมครับว่า การท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายของเศรษฐกิจไทย อยู่ในความเสี่ยงจริงๆ

บทความนี้ ก็เพื่อตอบคำถามที่หลายคนสงสัยว่า

“ทำไม Mr.Messenger ถึงไม่แนะนำให้ถือหุ้นไทยเลย วันๆอัพเดทแต่ตลาดหุ้นเมืองนอก?”

มันก็เป็นเพราะ ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อหุ้นไทยแบบถือยาวๆครับ ถ้าผมจะซื้อ มี 2 เงื่อนไขนะ

ไม่หุ้นไทยลงมาแรงๆแบบถูกมากๆ ถูกกว่าภูมิภาคจนน้ำลายไหล

ก็ต้องเห็นหลักฐานว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับไปโตได้ตามศักยภาพที่ควรจะเป็น

แต่ ณ ตอนนี้ 2 อย่างที่ผมรอ ยังไม่เกิดครับ เพราะฉะนั้น LTF ผมไปรอโน้น ปลายปีเลย ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tourism.go.th , http://www.tradingeconomics.com และ Goldman Sachs Research