เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนในไทยส่วนใหญ่ จะเริ่มรู้จักการลงทุนในตลาดหุ้น จากการลงทุนในหุ้นไทย เหตุผลก็มากมายหลายประการ
1. ใกล้ตัว วิเคราะห์ง่าย ติดตามข่าวสารทั่วถึง
2. รู้จักบริษัทเป็นอย่างดี มีความคุ้นเคย
3. มีเพื่อนลงทุนได้กำไรแล้วบอกต่อ
ฯลฯ

นอกเหนือจากข้อดีที่มีมากมาย แท้จริงก็เป็นเพราะข้อจำกัดของนักลงทุนเองด้วยเช่นกัน
1. ไม่มีความรู้ในการลงทุนตลาดอื่น
2. ไม่เข้าใจความเสี่ยงอย่างถ่องแท้
3. เชื่อว่า หุ้นตลาดไหนๆก็เหมือนกัน
ฯลฯ

ถ้าย้อนกลับมาดูผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลกเปรียบเทียบกับไทย คุณจะเข้าใจมากขึ้นว่า ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวรไปตลอดกาล ลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยที่ดีมาหลายปีติดต่อกันก็เช่นเดียวกัน มันย่อมมีวันแพ้คนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา
นับตั้งแต่ต้นปีนี้ จนถึงวันที่ 15 พ.ย. 2556 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่เล็กน้อยที่ 2.30% มองในมุมนี้ ก็ยังดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารใช่มั้ยครับ แต่อย่างที่เราเห็นว่า เม่าไทยบินเข้ากองไฟช่วงไตรมาส 2 ตัวเกรียมกันเป็นแถบๆ ลองไปดูตลาดหุ้นประเทศอื่นๆในเอเชียกันบ้าง
Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ผลตอบแทนอยู่ที่ 45.88%
Dow Jones ของอเมริกา ผลตอบแทนอยู่ที่ 22.24%
DAX ของเยอรมัน ผลตอบแทนอยู่ที่ 21.32%

จะเห็นว่า ประเทศที่เคยผลตอบแทนแย่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาปีนี้ ดีกว่าไทยทั้งหมด นั้นแสดงให้เห็นสัจจะธรรมที่ว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักร ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้แน่นอน

ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุน ผมได้เคยแนะนำนักลงทุนให้มองภาพใหญ่ และทำใจไว้ก่อนว่า ในปีหน้า (2557) อาจจะเป็นปีที่หุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนที่ใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ แน่นอนว่า การหลับตาจิ้มหุ้นและกำไร จะไม่เกิดขึ้นง่ายๆเหมือนช่วงที่ผ่านมา ถ้าเชื่อตามผม มองเห็นภาพคล้ายๆกับผม ก็หมายความว่า นักลงทุนควรขายหุ้นออกมาอยู่ในเงินฝากธนาคารหรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ใช่

สาเหตุเพราะ
1. ผมอาจจะคิดผิด เพราะถ้าผมเดาถูกว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวยังไงแม่นทุกรอบ ก็ลาออกจากงานมาขายบ้านขายรถลงทุนทบต้นไปเรื่อยๆ ป่านนี้ก็รวยกว่า ดร.นิเวศน์ไปแล้ว
2. เงินฝากธนาคารให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ในบรรดาเครื่องมือทางการเงินทุกชนิดบนโลก และดังคำกล่าวที่ “มีแต่คนรวย ที่ฝากเงินในธนาคาร แต่มียักกะมีใคร ฝากเงินในธนาคารจนรวย!!”

ดังนั้น การจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของการลงทุนไปได้นั้น หนึ่งในกลยุทธ์ก็คือ “การกระจายความเสี่ยง” ในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อย หรือไปแสวงหาโอกาสที่อื่น
ถ้ามองว่า หุ้นไทยอาจจะไม่ไปไหนปีหน้า แล้วทำไมเราไม่ลองหาโอกาสในตลาดอื่นๆทั่วโลกดูบ้างล่ะ

และที่ผมจะบอกผู้อ่านบทความนี้ ณ ตอนนี้ นี่คือ อีกหนึ่ง Theme การลงทุน ที่จะมาช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุนมากขึ้น

ล่าสุด ที่จีน มีการจัดการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน สมัยที่ 18 ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา และสิ้นสุดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ากันว่า การประชุมสมัชชาครั้งนี้ มีความสำคัญมากๆในเชิงของแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งต้องวาง Roadmap ทุกๆ 20-30 ปี ถ้าจะถามว่า ที่จีนมีบทบาทในเวทีการค้าโลก และมีอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจจีนอย่างมากเช่นในปัจจุบัน เป็นเพราะอะไร ก็บอกได้เต็มปากว่า จุดเริ่มต้นมาจากการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แบบนี้ล่ะครับ ซึ่งการประชุมครังนี้ ก็มีหัวใจสำคัญตรงแถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ระบุว่า จุดประสงค์โดยทั่วไปของการปฏิรูปคือการปรับปรุงและพัฒนาสังคมที่เป็นแบบเฉพาะของจีน และยกระดับความทันสมัยของระบบการปกครองและศักยภาพของประเทศ โดยการบริหารงานของรัฐบาลจะเป็นการบริหารจากระดับบนสู่ระดับล่าง ในขณะที่การปกครองจะให้ความสำคัญกับจากระดับล่างมาสู่ระดับบนและรวมทุกระดับเข้าดั้วยกัน เพื่อให้สาธารณชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และสิ่งที่จีนจะทำควบคู่กับไปก็คือ กำหนดทีมงานส่วนกลางเพื่อทำหน้าที่กำหนดการปฏิรูป ทีมงานดังกล่าวจะรับผิดชอบในเรื่องการออกแบบพื้นฐานการปฏิรูปโดยทั่วไป รวมถึงการประสานงานในเรื่องการปฏิรูป การผลักดันการปฏิรูปโดยรวม และกำกับดูและการดำเนินการตามแผนปฏิรูป เรียกว่า เป็นการกระจายอำนาจ จากที่เคยรวบไว้ที่ยอดหัว ลงมาให้อำนาจระดับกลาง และระดับล่างมากขึ้น

หลังการวิเคราะห์แผนปฏิรูปเศรษฐกิจจีนออกมา เราก็พบมุมมองนักวิเคราะห์ที่ปรับมุมมองเป็นเชิงบวกต่อการลงทุนในจีนทันที ที่แรก UBS ปรับน้ำหนักการลงทุนใน H-Share เป็น “Overweight” มอง ตลาดจีนในฮ่องกงจะได้รับผลเชิงบวกจากการปฏิรูปดังกล่าว ในขณะที่ Goldman Sachs มีมุมมองว่า GDP Growth ของจีนจะเริ่มทรงยืนบริเวณ 7-8% ได้ โดยไม่ต่ำไปว่านี้ พร้อมให้คำแนะนำเชิงบวกระยะสั้นต่อตลาดหุ้นจีนในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า

ในขณะที่บ้านเรายังมีปัญหาที่ต้องแก้ แต่ประเทศอื่นๆในโลก เขาก็พยายามเดินหน้าไปเรื่อยๆ

การอยู่แต่ตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่คุณต้องรู้ว่า Opportunity Cost มันมีอะไรบ้าง
ในทางตรงกันข้าม ผมก็ไม่ได้เชียร์ให้กระโดดไปในสนามใหญ่ทันที เพราะถ้าไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้มากพอ ก็โดนฝรั่งล่อเหมือนที่เคยโดนในสนามเล็กอยู่ดี