บทความนี้เป็นหนึ่งในบทความที่ได้รับการคัดเลือกมาจากนักลงทุนที่ติดตาม Line Official Account นะครับ ผมเห็นว่าน่าสนใจ และสามารถเอาไปใช้เป็นแนวทาง หรือกรณีศึกษา เวลาเกิดประเด็นใหญ่ๆที่กระทบภาพรวมของตลาด  ว่าสุดท้ายแล้วเราต้องมองภาพยังไง วิเคราะห์ตามจริง ไม่ใช่ Panic กันไป แล้วมาเสียใจทีหลัง กับคำว่า “รู้งี้” แทบจะตลอดเวลา ไปตามอ่านกันเลยครับ

Q : ข่าวว่า พบผู้ป่วย MERS เข้าไทยแล้ว น่ากลัวอ่ะ >.<


A : ตามข่าวที่เราเห็นนะครับ อย่างแรก เราต้องเช็คก่อน ไม่ใช่แค่เห็นว่าเป็น MERS แล้วตกใจเลย ทั้งนี้แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่ Forward ข้อความจาก Line กันไปเรื่อยๆนะครับ แต่ควรเป็นแหล่งข่าวที่มั่นใจได้ระดับหนึ่ง อย่างกรณีนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขแถลงเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2015 ออกมาว่า ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) รายแรกเป็นชาวตะวันออกกลาง โดยได้รับตัวไว้ดูแลที่สถาบันบำราศนราดูร อีกทั้งติดตามและสังเกตอาการผู้สัมผัสโรคทั้ง 59 ราย

Q : แค่นี้ก็น่ากลัวแล้ว มีผู้ติดตามตั้ง 59 ราย แล้วไม่รู้ 59 รายนี้ไปเจออีกกี่คน ติดไปอีกกี่คน โอยยย น่ากลัว

A : ก่อนจะขายหุ้นทิ้ง เราต้องดูแลตัวเอง และหาวิธีป้องกันก่อนครับ ผมเอา Infographic อันนี้มาจากโรงพยาบาลสมิติเวช เอาไว้ดู แล้วใจเย็นๆนะ

617_5

Q : ตกลงจะมาพูดเรื่องผลกระทบต่อหุ้น หรือจะเปลี่ยนแนวเพจ?

A : กวนละ แค่จะให้เห็นภาพว่า ความร้ายแรงของโรคมันเป็นอย่างไร และเราก็เห็นสื่อพยายามเปรียบเทียบ MERS กับ SARS ที่เกิดการะบาดในปี 2003 ดังนั้น ผมคิดว่า เราควรใช้กรณี SARS เป็นการศึกษา และเด๋วจะบอกว่า มันมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่ 2 ประเด็น

1. SARS นั้น ความพยายามแก้ไขปัญหาดูจะผิดที่ผิดทางไปซะหมด โดย Global Alert นั้นเกิดขึ้นหลังพบผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายโรคปอดบวมเมื่อผ่านไปแล้วถึง 4 เดือน สาเหตุ ณ ตอนนั้นก็คือ แพทย์ยังไม่ฟันธง และยังไม่สามารถระบุเชื้อไวรัสได้ อีกทั้งในตอนนั้น ก็มีการปกปิดข้อมูลการติดเชื้อทำให้ป้องกันการแพร่ระบาดได้ยาก ซึ่งท้ายที่สุดก็ระบาดไปในวงกว้างเกือบ 19 ประเทศ

2. MERS ดูจะมีความร้ายแรงกว่า SARS พอสมควร โดยอัตราการเสียชีวิตของ MERS อยู่ที่ 36% ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโรค SARS ตอนปี 2003 อยู่แค่ 15%

Q : แล้วครั้งตอน SARS นั้น กระทบอะไรกับหุ้นไทยบ้าง?

A : หลังจากมีการประกาศพบผู้ป่วย SARS คนแรกในเมืองไทยวันที่ 3 มี.ค. 2003 วันแรก ตลาดหุ้นตกใจ ลบไป -0.8% แล้วแกว่งตัวเป็น Sideway Down ราวๆ -4% หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ แต่หลังจากนั้น หุ้นไทยกลับเป็นขาขึ้นแบบม้วนเดียวดันดัชนีจากราวๆ 370 ขึ้นมาปิดปี 2003 ที่ 772 จุด หรือขึ้นมาจากจุดตัวสุดตอน SARS เข้าไทย คิดเป็น 108% ทีเดียว

sc

Q : โอ้โห แบบนี้ รอบนี้ลงมา ก็ซัดหุ้นไทยได้เต็มข้อเลยดิ ไม่ต้อง 100% หรอก ขอแค่ 50% ก็ยิ้มหน้าบานทั้งประเทศละ 555+

A : ภาพเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในปี 2003 กับวันนี้ ต่างกันสิ้นเชิงครับ ตอนนั้น ดัชนีฟื้นจากจุดต่ำ เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว โลกไม่มี QE แต่วันนี้ หุ้นส่วนใหญ่แพง เศรษฐกิจไปต่อลำบาก ค่าเงินบาทอ่อนแต่ส่งออกติดลบ QE ในญี่ปุ่น และยุโรป ยังเดินหน้าต่อเนื่อง ดังนั้น ไม่ต้องหวังเลยว่ามันจะเหมือนกันในระยะยาว

แต่ในระยะสั้นๆ 1-2 สัปดาห์ หลังประกาศเตือน SARS นั้น ผมว่า น่าศึกษาไว้

Q : งั้นมีอะไรที่เราต้องรู้อีกไหม?

A : ในตอนปี 2003 นั้น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มธุรกิจสายการบิน ซึ่งปรับฐานราวๆ -4% ภายในสัปดาห์เดียว และยังไม่เป็นขาขึ้นได้เลยถัดไปอีกถึง 2 เดือน ซึ่งสะท้อนว่า นักลงทุนขอรอดูผลของการเตือนภัย และไม่มั่นใจผลกระทบว่าจะบานปลายหรือเปล่า กลุ่มต่อมาก็คือ กลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว

ส่วนหุ้นที่ได้รับผลบวก ณ ตอนนั้นก็มีเหมือนกันครับ ก็คือ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งบวกได้เกิน 3% ขึ้นไปในช่วง 1 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์

Q : แสดงว่าเราควรขายสายการบิน การท่องเที่ยว แล้วหนีไปเข้ากลุ่มโรงพยาบาลชิมิ?

A : เดี๋ยวตีตายเลย ก็บอกอยู่แล้วว่า ภาพรวมเศรษฐกิจ และมูลค่าตลาดมันต่างกัน แปลแบบนั้นตรงๆไม่ได้

ผมพาไปดูหุ้นที่ติด Top Loser เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

MERSSS

เห็นหุ้น 8 ตัวในตารางไหมครับ มีกลุ่มสายการบิน, กลุ่มท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม , กลุ่มค้าปลีก และหุ้นโรงพยบาลก็ลงกะเค้าด้วย งงดิ – -”

ดังนั้น ผมมองว่า ภาพอาจคล้ายตอนปี 2003 แต่เนื่องจาก ณ ระดับราคาหุ้นแต่ละตัวในปัจจุบัน มันแพงกว่าตอนปี 2003 ค่อนข้างมาก ดังนั้นอนเหตุการณ์ SARS หุ้นแต่ละตัวจึงปรับตัวไม่แรงมาก เมื่อเทียบกับวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่แม้จะผ่านไปวันเดียว แต่ก็ลงได้ค่อนข้างแรง แถมบางตัวที่คุณเห็นใน 8 ตัวบนเนี่ย ลงมาขนาดนี้ PE ยังเกิน 30 เท่าอยู่เลย คิดดู หุหุ

Q : พี่กำลังแนะนำให้หลีกเลี่ยง และชะลอการลงทุนไปก่อน?

A : ใช่เลยครับ เริ่มเก่งแล้วนะเรา สาเหตุเพราะ การแพร่ระบาด หากยังมีข่าวพบคนไข้รายต่อๆมา อาจมีการขึ้น Travel Alert (กรณีเจอเยอะมากๆ) ซึ่งมันเป็นผลลบต่อ Real Sector แน่นอน ดูจาก Timeline ของ SARS ตอนปี 2003 นั้น ผมคิดว่า รอให้ผ่านไปซัก 2 สัปดาห์ แล้วมาดูอีกทีก็ได้ว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ส่วนกลุ่มที่ผมสนใจก็คิดว่า เป็นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม มากกว่าที่จะเป็นสายการบิน เหตุผลเพราะ ดูท่าทาง ราคาน้ำมันอาจจะขยับขึ้นมาในไตรมาส 3-4 นะ ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกนั้น ถึงไม่มีเรื่อง MERS กำลังซื้อภายในประเทศก็ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นได้ง่ายอยู่แล้ว รอไปก่อน

สุดท้าย หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มนี้ ถ้าลงมาหนักๆ น่าสนใจจริงๆครับ แต่ผมก็คิดว่าลงไม่หนักมากหรอก

แต่ย้ำนะครับ ประเด็นก็คือ ที่เห็นลงมากันเนี่ย Valuation ก็ยังถือว่าแพง สำหรับคนที่จะเก็บยาวๆอยู่ดี แต่ใครมองว่าเป็น Thematic เล่นเก็งกำไรระยะสั้นกับ Sentiment ตามการวิเคราะห์ละก็ ก็ตามที่ผมมองคร่าวๆนั้นหล่ะ

จบนะ ไปต่อกันเองในหุ้นรายตัวครับ มีปัญหาเขียนให้เท่านี้ แล้วเด๋วเรามาดูผลลัพท์กันว่า ผลกระทบของ SARS กับ MERS ต่อตลาดหุ้นไทย มันจะเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรบ้างเนอะ