ถ้าติดตามกันมา เป็นแฟนกันเหนียวเน้นมาซักระยะ (ต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้ไว้ก่อนนะครับ) ก็จะรู้ว่า สไตล์การลงทุนของผม เป็นประเภท “มวยวัด” รู้ไว้ทุกอย่าง หยิบเอาบางอย่างมาใช้ในสถานการณ์ที่เห็นว่าจำเป็น ผมไม่ใช่ VI จ๋า และไม่ได้เป็นพวกนักเทคนิคสุดโต่ง แต่ถ้าพูดถึงหุ้นรายตัวแบบละเอียดๆ การงบมาวิจารณ์ อันนี้ขอผ่านครับ ไม่ใช่ทางผมแน่นอน

ส่วนเครื่องมือทางเทคนิค (Technical Analysis) นั้น เป็นสิ่งที่ผมพยายามหาความรู้เพิ่มเติมมาตลอด ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งเข้าใจว่า “ใช้ให้น้อย” เป็นดีที่สุด เหมือนอย่าง Warren Buffett ศาสดาสาย VI ซึ่งแกดูจะรู้ลึกรู้จริงในสิ่งที่ลงทุนมากๆ แต่หลักการ Buffettology ของแก กลับง่าย และเข้าใจได้ไม่ยาก แสดงให้เห็นถึงความคิดที่ตะกอนมาอย่างดีแล้ว อันนี้นับถือๆ

กลับมาที่เครื่องมือทางเทคนิค ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายตัว ทั้งการลากหาแนวโน้ม ดู Candlestick นับคลื่น ใช้เส้นค่าเฉลี่ย ดู Fibonacci ฯลฯ
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมนิยมดู ถึงเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่การเกิดขึ้นแต่ละครั้งล้วนมีความหมาย และการ Action ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย ด้วยสัญญาณ หรือเครื่องมือตัวอื่น เราจะเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยหลายๆครั้ง

ใช่ครับ สิ่งที่ผมอ้างถึงอันนี้ก็คือ “Bullish Divergence & Bearish Divergence”

Bullish Divergence จะเกิดเมื่อตลาดหุ้น หรือหลักทรัพย์นั้นๆอยู่ในขาลง และมีโอกาสเข้าสู่ทิศทางกลับตัว (เราเลยเรียกว่า Divergence ยังไงล่ะ)

 

แล้วดูยังไง?
– ดูในกราฟ โดยดูทิศทางของราคาดัชนี หรือ หลักทรัพย์ เปรียบเทียบกับ Indicator ซึ่งตัวที่นิยมใช้ดูกับรูปแบบดังกล่าวก็คือ RSI, MACD และ Stochastic
โดย ราคาหุ้น มีการลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ Indicator ที่เราใช้ดูประกอบ กับทำ Higher Low หรือ ลงมาไม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม หากราคาหุ้นดีดขึ้นไปเหนือจุดต่ำสุดก่อนหน้าได้ ก็เหมือนกับการยืนยันว่าเกิด Bullish Divergence และมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะกลับตัวจากขาลง เปลี่ยนมาเป็นขาขึ้นครับ

 

อธิบายแบบนี้ อาจยังดูงง งั้นไปดูตัวอย่างประกอบ
จะเห็นว่า พอเกิด Bullish Divergence ปั๊บ หุ้นในภาพตัวอย่าง ก็เปลี่ยนแนวโน้มมาเป็นขาขึ้นทันที

ในทางตรงกันข้าม Bearish Divergence ก็คือ ราคาหุ้น มีการรขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ Indicator ที่เราใช้ดูประกอบ กับทำ Lower High หรือ ขึ้นไป แต่เตี้ยกว่าจุดสูงสุดเดิม และเมื่อไหร่ที่หากราคาหุ้นโดนทุบลงมาต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม ก็เป็นการยืนยันว่าเกิด Bearish Divergence และมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะกลับตัวจากขาขึ้น เปลี่ยนเป็นขาลง ดูตัวอย่างครับ

ใครที่สนใจซึกษาแนวทางนี้ เพื่อความชำนาญ พยายามลองเปิดกราฟหุ้นดูให้ได้เป็นร้อยตัว แล้วลองหารูปแบบ Divergence เหล่านี้ พร้อมกับดูผลลัพทธ์ของมัน ก็จะเห็นเหมือนกับที่ผมเห็นมาแล้วนะครับ
ข้อควรระวังในการใช้ Divergence ในการเข้าซื้อหรือขายก็คือ
1. มันเป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ต้องใจเย็น และค่อยๆพิจารณา
2. Divergence อาจไม่ได้เกิดแค่คลื่นแค่ 2 ลูกติดกัน อาจเป็น 3 คลื่นก็ได้ (Divergence 3 ลูก) ก่อนเปลี่ยนแนวโน้ม
3. เหมือนกับสัญญาณทางเทคนิค และหลักการลงทุนแบบอื่นๆ นั้นก็คือ ไม่ได้มีความแม่นยำแบบ 100%

จากทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา นักลงทุนก็ควรแค่รู้ไว้ดูประกอบเท่านั้น แต่ถ้าใครจะเป็นนักเทคนิคแล้วไม่รู้รูปแบบนี้ ถือว่า เชยแย่ ระวัง!! พรุ่งนี้ คุณจะ “คุยกับเขาไม่รู้เรื่อง!!”

ก่อนจากกัน จะบอกว่า SET Index เมื่อวานนี้ เกิด Bullish Divergence ในกราฟ 120 นาที และเด้งขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ 1,460 จุด ขึ้นมาเหนือ 1,520 จุดวันนี้
ส่วน S&P500 ขึ้นมารอบนี้ พก Bearish Divergence มาด้วย ไม่รู้ที่ก่อตัวแบบนี้ขึ้นมา สุดท้ายแล้วออกทางไหน

นักเทคนิคที่ดี เราคาดเดาตลาดไว้ล่วงหน้าได้ แต่เราไม่ Action ก่อนตลาดนะครับ ตลาดเลือกทางและยืนยันแนวโน้มก่อน มันไปทางไหน เราค่อยวิ่งตามไปทางนั้น ถ้าจำหลักการนี้ได้ ก็เท่ากับรักษาชีวิตในตลาดหุ้นไว้ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่ง อยู่ที่สติแล้วล่ะ