ที่เขาบอกกันว่า Late Bull Market Cycle …. หน้าตามันเป็นอย่างไร?

ในโลกของการลงทุน ภาวะตลาดมีอยู่ 2 ภาวะใหญ่ๆ นั่นก็คือ ตลาดขาขึ้น (Bull Market) และ ตลาดขาลง (Bear Market)

ถ้าใครวิเคราะห์ และจัดพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง ก็จะได้รับคำแนะนำว่า ควรมีการลงทุนในหุ้นเยอะๆในตลาดขาขึ้น และควรลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงเมื่อตลาดเข้าสู่ขาลง

หลังจากได้หลักการนี้ไปปรับใช้ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นทันทีนั้นก็คือ…

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนี้ ตลาดกระทิง หรือ ตลาดหมี?

บ้างก็บอกว่า ดูที่ตัวเลขเศรษฐกิจ ถ้า GDP Growth ถดถอยเมื่อไหร่ ก็เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า ตลาดหุ้นอาจจะได้เวลากลับทิศ แต่สิ่งที่นักลงทุนเจอก็คือ บางครั้ง ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา มันก็ชะลอตัวแค่ระยะสั้น แล้วทำให้เราขายหมูก็หลายรอบอยู่ แบบนี้จะรู้ได้ยังไง?

บ้างก็บอกว่า ให้ดูสัญญาณทางเทคนิค (Technical Analysis) ถ้าหลุด Uptrend Line หรือ แนวโน้มขาขึ้นเมื่อไหร่ ก็บั๊บบายตลาดหุ้น แล้วไปหลบภัยในตราสารหนี้แทน แต่เอาเข้าจริง ตอนหุ้นขึ้นแรงๆเราก็ไม่กล้าซื้อ ชอบซื้อของถูก ตรงแนวรับ พอรับแล้วมันหลุด ก็ไม่กล้าตัดขาดทุน กลายเป็นติดดอยไปทุกที แบบนี้จะแก้ยังไง?

ปัญหาที่คุณเจอ คือ สิ่งที่นักลงทุนทั้งโลกเขาก็เจอเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าอยากลงทุนแล้วประสบความสำเร็จ เราต้องเจอประสบการณ์แบบนี้ และเรียนรู้มันให้ได้บทเรียนเป็นของตัวเอง ใครก็สอนเราไม่ได้ว่าจะรับมือยังไง ดังนั้น เตรียมใจนะว่า เราจะมีเวลาที่ยากลำบากรออยู่ข้างหน้าอยู่แล้ว หนีไม่พ้นแน่นอน

มาที่เหตุการณ์ปัจจุบันกัน

หลายคนคงได้ยินนักวิเคราะห์ และนักลงทุนพูดกันว่า ภาวะตลาดตอนนี้คือ ปลายตลาดกระทิง หรือ Late Bull Cycle บ้างก็บอกว่ายังมีโอกาสในการลงทุน บ้างก็บอกว่า ต้องระวังแล้วนะ

ผมจะลองแยกทีละประเด็นให้ทุกคนเห็นนะครับว่าทำไม เขาถึงพูดกันว่า ตอนนี้คือ Late Bull Market Cycle

1. Bull Market รอบนี้ ใช้ระยะเวลายาวนานกว่ารอบที่ผ่านมา

ดัชนี S&P 500 ทำจุดสูงสุดตลอดกาลได้อีกรอบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทำให้ขาขึ้นรอบนี้ ถือเป็นรอบที่ใช้ระยะเวลายาวนานที่สุด นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบวกมามากกว่า 320% นับตั้งแต่เดือนมี.ค. ปี 2009 พอเราได้รับข้อมูลมา ก็สามารถตีความได้ว่า มันนานเกินไปหรือเปล่า? แล้วจะวิ่งขึ้นไปได้ไกลกว่านี้จริงๆหรือ? นี่คือเหตุผลแรกที่คนส่วนหนึ่งเลยมีความเห็นว่า เราน่าจะอยู่ใน Late Bull Cycle

2. จากมาตรการเพิ่มสภาพคล่องสู่การลดสภาพคล่อง

ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปี 2015 แล้วถามว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งแรงจนถึงวันนี้คืออะไร? นักลงทุนส่วนหนึ่ง (รวมถึงผมเอง) ก็จะบอกว่า เพราะการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากโครงการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และเกิดลิทธิเอาอย่างจากธนาคารกลางแห่งอื่นทั้งยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ กดดันให้มีเงินส่วนเกินในระบบเหลือแล้วมาลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน แต่วันนี้ ภาพไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเฟดเองก็ยุติโครงการ QE ไปแล้ว และกำลังทยอยลดขนาดงบดุล รวมถึงอีซีบี ก็คิดจะทำในสิ่งเดียวกัน ซึ่งแปลว่า สภาพคล่องส่วนเกินในระบบกำลังลดลง พอคิดง่ายๆแบบนี้ว่า หุ้นขึ้น เพราะมีคนมาเพิ่มสภาพคล่อง แล้วตอนนี้คนที่เคยเพิ่มสภาพคล่อง บอกจะขอเอาเงินกลับ สินทรัพย์ที่เขาเคยเข้าไปซื้อ มันจะยังยืนอยู่ได้หรือ? เรียงลำดับความคิดแบบนี้ ก็ตีความทันทีว่า ตลาดขาขึ้นคงเหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ

3. การดำเนินนโยบายของ ปธน.ทรัมป์ ดูเป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจโลกเหลือเกิน

สหรัฐฯ มีความพยายามใช้มาตรการเชิงรุกผ่านนโยบายการคลังด้วยการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าที่ได้ดุลกับสหรัฐฯมาเป็นเวลานาน สิ่งนี้ดูเหมือนจะขัดกับหลักทุนนิยมเสรี และมีแต่คนออกมาบอกกับเราว่า จะทำให้ Global Trade หดตัว และเป็นสงครามที่มีแต่ผู้แพ้ในระยะยาว เอาละสิทีนี้ ส่งออกหดตัว ก็หมายถึงเศรษฐกิจจะชะลอตัวด้วยรึเปล่า หรือว่า ตลาดหุ้นกำลังจะสิ้นสุดขาขึ้นเพราะปธน.ทรัมป์เป็นแน่แท้?

4. Emerging Markets ปรับฐานเกิน -20% ไปแล้ว มันจบแล้ว

เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับประเด็นที่ 3 เพราะ การปรับฐานของตลาดหุ้นเกิดใหม่ ประเด็นใหญ่มาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ตามมาด้วยประเทศที่มีปัญหาเรื่อง Hyperinflation และการเดินหน้าหวังผลทางการเมืองของปธน.ทรัมป์ จนทำให้ประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดี โดยซ้ำเติมเข้าไปอีก ยิ่งเห็นดัชนีตลาดหุ้นจีนลงแรงๆ เราก็คิดว่า ประเทศอื่นคงไม่รอด นี่ละสัญญาณของตลาดหมี

เป็นไงบ้างครับ 4 ประเด็นหลักๆ ที่ทำให้นักลงทุนกังวลว่าใกล้จะสิ้นสุดตลาดขาขึ้นแล้วตอนนี้? อ่านแล้วห่อเหี่ยวกันไหมครับ?

ที่ผมสังเกตมาตลอดจากประสบการณ์การลงทุนของตัวเองก็คือ ไม่มีปีไหนที่ไม่มีข่าวร้ายเลย ข่าวร้าย ข่าวลบ คือ สิ่งที่เราต้องเจอไปตลอดครับ และการวิเคราห์ การหาคำตอบกับเหตุการณ์นั้นๆ มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆทุกปี เพราะมันมีปัจจัยใหม่ๆให้เราต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือ ความจริงที่ผมได้เรียนรู้กับตัวเอง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่บอกได้ก่อนเลยก็คือ ความเห็นทั้ง 4 ปัจจัยข้างบน ไม่ได้เป็นจุดที่บอกเราว่า โอกาสการลงทุนมันหมดไปแล้ว มันเป็นเพียงแค่หนึ่งในมุมมองที่เราสามารถแปล หรือตีความทางลบได้ เหมือนๆกับอีกหลายๆข่าวที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้ว เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนของวัฎจักรการลงทุน เราก็ไม่ควรอยู่ในความประมาทอยู่ดี ดังนั้น การพยายามคำตอบว่า ตอนนี้ใช่ Late Bull Market Cycle แล้วหรือไม่? หากถามเพื่อให้ได้คำตอบว่า ไม่ใช่ ขาขึ้นยังมีอีกยาวไกล แล้วใส่เงินเต็มพอร์ตเข้าไปลงทุนแบบหวังกำไรสุดๆ ผมก็คิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่เราควรทำครับ

และสมมติ มีกูรูซักคนตอบคำถามคุณว่า ใช่ นี่คือ เราใกล้จะจบตลาดกระทิงแล้ว ถ้าคำตอบนี้ มันทำให้คุณอยากกอดเงินสดทันที โดยไม่สนใจข้อมูลอื่นใด ไม่พยายามหาข้อมูลและวิเคราะห์ด้วยตัวเองให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ก็อาจทำให้เราเสียโอกาสที่ไม่ควร ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

แต่ผมรู้ อุตส่าห์อ่านมาถึงตรงนี้ คุณน่าจะอยากรู้ว่า ตลาดหุ้นขาขึ้น มันใกล้จะจบหรือยัง?

ตอบในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ และถ้าคุณจะเชื่อผมแล้วไปลงทุนตาม ก็ต้องไปรับผิดชอบชีวิตตัวเองด้วย ?

ผมมองว่า ตลาดหุ้นทั้งในไทย และใน Emerging Market ณ ตอนนี้ ยังมีโอกาสลงทุนในระยะยาวอยู่ สัญญาณของความโลภ หรือความผิดปกติ ไม่ได้มีให้เห็นในตอนนี้จนต้องกังวลมากขนาดนั้น ตลาดขาลง มักจะลงเมื่อเราไม่รู้ตัว และดื้อ ไม่ยอมคุมความเสี่ยงมาก่อนหน้านี้ให้ดี แต่ ณ ตอนนี้ ที่ใครๆก็มองว่า ต้องรัดเข็มขัด ต้องระมัดระวัง ต้องประคองตัว มันก็อาจเป็นสัญญาณชะลอตัวทางเศรษฐกิจบ้างนะครับ แต่ธุรกิจที่ปรับตัวได้ โอกาสในการทำธุรกิจมันก็ยังมี และแปลว่า มโอกาสในการลงทุนก็ยังมี

สิ่งที่นักลงทุนต้องทำก็คือ โฟกัสกับการลงทุนในระยะยาว ขยัน มีวินัย และ ไม่ประมาทครับ

– Mr. Messenger –