เราต่างได้ยินกันมาว่า หากเลือกที่จะลงทุนกันไปในระยะยาวแล้วการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนกับเราได้ดีที่สุด ซึ่งโดยเฉลี่ยปกติแล้วหุ้นก็ควรที่จะให้ผลตอบแทนให้เราได้เฉลี่ยปีละ 6-7%
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นท่ามกลางความไม่แน่นอน คุณรู้หรือไม่ว่าตราสารหนี้เองก็มีช่วงเวลาที่โดดเด่น และหุ้นเองก็มีช่วงเวลาที่ตกต่ำเช่นเดียวกัน
แล้วเราต้องทำอย่างไรเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้อย่างแท้จริง เรามาดูกลยุทธ์การจัดพอร์ต และทางเลือกแนะนำจาก FINNOMENA กันครับ
หากย้อนกลับไปในยุคเก่าแก่ดึกดำบรรพ์อย่างช่วงปี 1970 แล้ว หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่า หุ้นเองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากและสร้างผลตอบแทนได้ไม่ดีนัก และพ่ายแพ้ให้กับสินทรัพย์ที่เรียกได้ว่า มีความผันผวนน้อยกว่า อย่าง “ตราสารหนี้” มาแล้ว
ภาพแสดงผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะกลาง (สีฟ้า) เทียบกับผลตอบแทนดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ (สีแดง) ที่มา: crevelingandcreveling.com วันที่: 9 กันยายน 2020
ภาพแสดงผลตอบแทนกองทุน ETFs ตราสารหนี้ระยะยาว (เส้นสีแดง) เทียบกับผลตอบแทนดัชนีหุ้น S&P 500 (เส้นสีดำ) ที่มา: financialsamurai.com
หรือจะเป็นในตอนนี้เองก็ตามแต่ จากภาพเราก็จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ช่วงปี 2000 ไม่นานมานี้กองทุน ETFs ตราสารหนี้ระยะยาว สามารถทำผลตอบแทนเอาชนะดัชนีหุ้น S&P 500 ไปได้ถึงราว ๆ 60% !
ดังนั้นใครที่ว่าการลงทุนในหุ้นอย่างเดียวจะทำให้เราสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวเราก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดสักนิดหนึ่ง เพราะ แท้จริงแล้วเราไม่สามารถรู้อนาคตได้อย่างแน่นอนเลยว่าจะเป็นเช่นไร และสิ่งที่เราต่างคาดการณ์และคาดคะเนกันไปนั้น ก็เป็นเพียงการสร้างโอกาสสูงสุดในการลงทุน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะผิดพลาดกันได้
การลงทุนแบบผสมผสานในสัดส่วนที่เหมาะสมถือเป็นอีกวิถีทางหนึ่งในการจัดพอร์ตการลงทุนของเราให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว เพราะ ลึก ๆ แล้วในความเป็นมนุษย์ เราเองก็ต่างมีอารมณ์ความรู้สึกเมื่อได้รับรู้ถึงผลตอบแทนในแต่ละขณะด้วยกันทั้งนั้น
ถึงเราจะป่าวประกาศกับตัวเองว่าการลงทุนในหุ้นระยะยาวนั้นสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจหรือขาลง เราเองก็หวั่นใจและอาจไหลไปกับอารมณ์ของสื่อหรือข้อมูลเชิงลบต่าง ๆ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวโดยการเทขาย และใช้คำว่าถอยมาก่อน จนอาจทำให้เราหยุดลงทุนในช่วงตลาดขาลงที่ถือว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด จากการที่บริษัทต่าง ๆ มากมายมีราคาที่ลดลง จนอาจจะน้อยกว่ามูลค่าทางธุรกิจที่แท้จริง ทำให้สร้างทางเลือกการลงทุนในความเสี่ยงที่ต่ำ รวมทั้งโอกาสสร้างผลตอบแทนในอัตราสำเร็จที่สูงกว่า
ภาพแสดงผลตอบแทนแบบกระจายการลงทุน (เส้นสีฟ้าและเส้นสีน้ำเงิน) เทียบกับการลงทุนในดัชนีหุ้น (เส้นสีเขียว) เพียงอย่างเดียว ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ต่างกันไปในแต่ละช่วง ซึ่งพอร์ตการลงทุนแบบผสมสามารถสร้างความผันผวนได้ต่ำกว่า และสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าในบางช่วงเวลา
ที่มา: lynalden.com วันที่: 1 มีนาคม 2020 (ผลทดสอบย้อนหลังจาก JP Morgan)
ดังนั้นการลงทุนแบบผสมผสานทั้งหุ้น ตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือกอาจเป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่จะคงรักษาสภาพจิตใจของเราในยามที่ตลาดเกิดความผันผวน เพราะพอร์ตการลงทุนของเราจะมีมูลค่าลดลงน้อยกว่าพอร์ตหุ้นเพียว ๆ ซึ่งเวลาเรากางพอร์ตในตอนนั้นออกมาดูแล้วมันก็คงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่เราจะทำตามแผนของเราในอนาคต โดยการลงทุนต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนั้นการกระจายการลงทุน โดยกระจายลงทุนในตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก ยังเป็นการแก้ปัญหาอย่างการคาดเดาอนาคต ซึ่งการคาดการณ์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำสำเร็จได้แบบ 100% และผู้เชี่ยวชาญเองก็มีสิทธิ์ที่จะคาดการณ์ผิดพลาดได้ไม่ต่างไปจากเราที่เป็นคนธรรมดา ๆ
“Conservative Investors Sleep Well” – Benjamin Graham
“นักลงทุนเชิงรับหลับตาลงได้อย่างไร้กังวล” – เบนจามิน เกรแฮม
หากพูดถึงอาจารย์ของอาจารย์ที่เป็นต้นแบบและมีอิทธิพลค่อนข้างมากกับตำนานที่ยังมีลมหายใจและเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ดีที่สุดของโลกอย่าง Warren Buffett ต้นแบบไอเดียการลงทุนแบบผสมผสานจากแนวคิดของเขาก็ดูจะเป็นแนวคิดการจัดพอร์ตที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล
Benjamin Graham เป็นนักลงทุนท่านหนึ่งที่ใช้แนวคิดการจัดพอร์ตแบบผสมผสานภายใต้แนวคิดที่ว่า เราไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแน่นอน 100% ซึ่งถึงแม้เขาจะมั่นใจในการวิเคราะห์ของเขาเพียงใด สัดส่วนการลงทุนแบบดุดันที่สุดที่เขาแนะนำก็ยังคงเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ไว้ที่ 25% และหุ้นไว้ที่ 75%
แนวคิดการจัดพอร์ตการลงทุนของ Benjamin Graham นั้นได้ให้คำนิยามหลัก ๆ ไว้ว่า ไม่ว่าเราจะมั่นใจหรือเราจะเป็นนักลงทุนที่ชอบการลงทุนแบบเชิงรับสบาย ๆ ยังไง เราก็ยังต้องยึดถือหลัก 25% และ 75% เอาไว้
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนสำหรับนักลงทุนเชิงรับหรือผู้ที่มีมุมมองว่าตลาดหุ้นอยู่ในจุดที่ร้อนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็นนักลงทุนก็ควรที่จะคงสัดส่วนตราสารหนี้ไว้ที่ 75% และหุ้นไว้ที่ 25%
ส่วนนักลงทุนเชิงรุกหรือผู้ที่มีมุมมองว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรงนักลงทุนก็ควรที่จะคงสัดส่วนหุ้นไว้ที่ 75% และตราสารหนี้ไว้ที่ 25%
และส่วนสุดท้ายหากใครที่ยังเป็นพนักงานประจำ เป็นแม่บ้าน หรือมีเงินทุนที่ไม่พร้อมสูญเสียที่เรียกง่าย ๆ ว่าเงินร้อน (เงินหมุนเวียนเร็ว) การจัดพอร์ตแบบหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50% ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่แนะนำ เพราะ สร้างกระแสเงินสดให้เราได้ พร้อมทั้งยังลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนหรือเรียกได้ว่า การลงทุน “แบบสมดุล”
ภาพแสดงผลตอบแทนเทียบสัดส่วนการลงทุนต่าง ๆ ทั้งหุ้นล้วนและผสมผสานจะสังเกตได้ว่าผลตอบแทนต่อปี (Average annual return) มีความแตกต่างกันออกไป และพอร์ตการลงทุนแบบผสมมีความผันผวนที่น้อยกว่า
ที่มา: financialsamurai.com (ผลทดสอบย้อนหลังจาก Vanguard หน่วยลงทุน ETFs ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก)
และจากภาพข้างต้นหากเราลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียวเราอาจต้องแบกรับภาระที่พอร์ตการลงทุนติดลบสูงสุดถึง -43.10% !
และหากใครสนใจการลงทุนแบบสมดุลทาง FINNOMENA เองเราก็มีพอร์ตการลงทุนสำหรับความตั้งใจที่ว่าอย่างพอร์ต All-Balance พอร์ตที่เรามีความตั้งใจที่จะสร้างสมดุลการลงทุน และสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีให้กับนักลงทุนทุกท่าน
พอร์ต All Balance คือ พอร์ตการลงทุนจาก FINNOMENA ที่มีสัดส่วนการลงทุนแบบผสมผสานอีกทั้งยังแบ่งความเสี่ยงอีกขั้นหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักลงทุนจะมีทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง ในการเลือกผลตอบแทนและความเสี่ยงแบบสมดุล
ในส่วนของพอร์ต All Balance จะเน้นการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าและควบคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม
หากใครสนใจลงทุนในพอร์ต All Balance สามารถเริ่มต้นสร้างแผนได้เลยที่นี่ หรือถ้าใครอยากมีที่ปรึกษาการลงทุนมาช่วยดูแล สามารถลงชื่อเพื่อรับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลจากที่ปรึกษาของ FINNOMENA ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ที่ปรึกษาทุกคนมีใบอนุญาต (License) รับรองจาก กลต. และผ่านการฝึกอบรมจาก FINNOMENA เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนักลงทุนมั่นใจได้ว่าที่ปรึกษาจะเข้ามาช่วยดูแลเงินลงทุนของนักลงทุนได้แน่นอน ทำให้มั่นใจได้ว่าถึงแม้คุณต้องการจะลงทุนแบบเชิงรับและเน้นความสบายใจ คุณก็ยังคงไม่พลาดการอัปเดตสถานการณ์และภาวะตลาดจากทีม FA มืออาชีพที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างนักลงทุนทุกคน เฉกเช่น FINNOMENA สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้ที่ https://www.finnomena.com/campaign-fpa-services/ ครับ
ส่วนตัวผมเองก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับการจัดพอร์ตเพิ่มขึ้นนะครับ (ไม่ได้มาขายเพียงอย่างเดียว)
Graham, B., & Zweig, J. (2005). The intelligent investor: A book of practical counsel. New York: Collins Business Essentials.
https://www.financialsamurai.com/historical-returns-of-different-stock-bond-portfolio-weightings/
https://www.lynalden.com/asset-allocation/
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
หากคุณคิดจะลงทุนเพิ่มในกองทุนรวม นี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากพลาด! สมัครสมาชิกตอนนี้เพื่อรับโพยกองทุนเด็ดที่แนะนำ อัพเดททุกเดือนจาก FINNOMENA
กดที่นี่เพื่อรับโพยกองทุนAll Balance Portfolio, Article, Basic, FAAP, FPA Services, iFA Services, Knowledge, Long Content, Product Recommend, ที่ปรึกษาการลงทุน