หรือการพิมพ์เงินจะเป็นเฮโรอีนแห่งโลกการเงิน?

ช่วงที่ผ่านมาก่อนที่ตลาดจะ crash และไหลลงยกใหญ่ ผู้เล่นในตลาดเหมือนจะกำลังรู้สึกถึงรสชาติอันหอมหวานของราคาหุ้นที่ดันขึ้นไปจนทำจุดสูงสุดใหม่ จากเงินที่พิมพ์ขึ้นมา

หากคุณเป็นผู้ที่ติดตามสถานการณ์อยู่เสมอ คุณจะได้เห็นแรงฮึดจาก Fed ที่อัดเงินผ่านตลาด REPO หรือแม้แต่ประเทศอื่นๆอย่าง ญี่ปุ่น จีน หรือยุโรปก็มีแผนว่าจะฉีดเงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้นปี เรามาดูกันว่าการอัดฉีดเงินเข้าระบบแบบไม่บันยะบันยัง เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเป็นเพียงแค่ความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

โดยหลังจากที่ทาง Fed ได้อัดฉีดเงิน (QE) เข้าไป ตลาดก็ได้ดีดตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อ Fed ทำนโยบายการเงินแบบรัดกุม (QT) ตลาดก็ดูท่าจะพักตัวตามไปด้วย

หรือการพิมพ์เงินจะเป็นเฮโรอีนแห่งโลกการเงิน?

ข้อมูลภาพจาก FINNOMENA Investment Team

(จากภาพจะเห็นได้ว่าเมื่อ Fed เริ่มทำ QE ตลาดจะปรับตัวขึ้นและหยุดพักเมื่อทำ QT โดยในช่วงปลายปี 2019 มีการอัดฉีดผ่านตลาดจึงทำให้ตลาดดันตัวต่ออีกครั้ง)

ดังนั้นช่วงที่ตลาดดันตัวขึ้นไปทำสถิติใหม่ หากเราจะเปรียบว่า “เงินที่ถูกอัดฉีดขึ้นไป” เป็นเหมือนสารเสพติดก็คงจะว่าได้ เพราะ ทำให้ผู้เล่นตลาดกระโดดเข้าไปจับบังเหียนของตลาดกระทิง แต่เมื่อไวรัสโคโรน่าเข้ามากระทบ จนปัจจัยพื้นฐานอย่างภาคธุรกิจพังลง จนลามมาถึงระบบเศรษฐกิจทุกอย่างก็จบ

ดังนั้นผู้เล่นที่นำเงินเข้าไปตามการอัดฉีดเงินในช่วงที่ผ่านมานั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้ที่อยู่ในภาวะ “ขาดสติ” จาก “เฮโรอีน” อย่าง “สัญญาณการพิมพ์เงิน” โดยอาจลืมนึกถึงสัญญานพื้นฐานอย่าง “ความเสี่ยงภาคธุรกิจ” กันไป

แต่ล่าสุดเหมือนผู้เล่นในตลาด จะไหวตัวทันแล้ว…

ยุคนี้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆนั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมาทุกคนก็หาความรู้กันได้แล้ว และค่าอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันก็มีราคาที่หลากหลายทำให้การเข้าถึงข้อมูลอยู่กับคนทุกระดับชั้นไม่เพียงแต่ผู้มีฐานะเท่านั้น จึงทำให้ผู้คนศึกษาหาความรู้ ระแวดระวัง และไหวตัวต่อตลาดได้ไวขึ้น

ด้วยเหตุนี้เองอาจทำให้การลดดอกเบี้ยล่าสุดของ Fed ที่ลดแบบเบิ้ลคูณสองที่ 0.50% (จากปกติที่ 0.25% ต่อครั้ง) หรือแม้แต่รวดเดียวคูณสี่แบบในช่วงล่าสุดที่ผ่านมาที่ 1.00% ไม่ส่งผลต่อตลาด เพราะ ผู้คนอาจเรียนรู้กันมากขึ้นแล้วว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สภาพคล่องของตลาดการเงิน แต่เป็นปัญหาเรื่องของ ภาคธุรกิจ ต่างหากที่หยุดชะงัก เพราะไวรัสโคโรน่า การส่งสัญญาณเชิงบวกผ่านตลาดครั้งนี้จึงไม่เป็นผล โดยคนอาจรอสัญญาณเชิงบวกทางธุรกิจหรือพื้นฐานที่แน่ชัด อย่างการประกาศงบในเชิงบวกต่างหาก ถึงจะกระโดดเข้าลงสนามการเงินอีกครั้ง

หากนึกภาพตามมันจะมีประโยชน์อะไร ถึงแม้คุณจะสามารถกู้ยืมเงินไปทำธุรกิจได้ในอัตราที่ถูกลง จากการลดดอกเบี้ย แต่ demand หรือความต้องการของผู้คนไม่มี เพราะ เกรงกลัวเรื่องโรคระบาด จนไม่อยากออกมาพื้นที่พลุกพล่านเพื่อจับจ่ายใช้สอย

ดังนั้นผมถึงเขียนคอลัมป์เล็กๆนี้ขึ้นมา เพราะ ผมต้องการสะท้อนมุมมองทั้งสองด้าน “ทั้งด้านของการหลงมัวเมา” ไปกับสัญญาณเชิงบวกที่ไม่ได้สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง เช่น การลดดอกเบี้ยเพื่อปลุกชีพตลาดดังที่ผ่านมา รวมถึงด้านของ “การตื่นตัว” เพื่อให้ผู้อ่านฉุดคิดได้ว่าในตอนนี้เราถูกสัญญาณเชิงบวกปลอมๆ หลอกเราอยู่หรือเปล่า?

Critical Thinking หรือการมีจุดยืนอย่างเป็นเหตุเป็นผล อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนในช่วงเวลานี้..

ผมเชื่อว่าหลายๆคนอาจถูกตำหนิมาว่า “การแสดงแนวคิดหรือจุดยืนนั้นเป็นการต่อต้านขัดขืน และทำให้ระบบเกิดความวุ่นวาย” แต่สำหรับในเรื่องของการลงทุน ณ จุดนี้ หากเราเลือกที่จะตามๆเขาไป เพราะ เขาบอกว่าตอนนี้มันดีหรือมันแย่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

หากเขาบอกว่ามันแย่และเราก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เราอาจจะพลาดโอกาสในการลงทุนจากการพักฐานครั้งใหญ่นี้ก็เป็นได้…

หรือถ้าเขาบอกว่ามันดี และเราก็เชื่อว่ามันดี มันอาจจะพังยิ่งกว่านี้ หรือ มีอะไรที่ดีกว่านั้นก็ได้เช่นกัน

ขอให้ทุกคนโชคดีครับ