ตลาดหุ้นไทย: วัยชราที่รอวันดับ?

ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตอนนี้หากพูดถึงหุ้นไทยแล้วหลาย ๆ คนคงมีความกังวลและค่อนข้างเป็นห่วงกับสภาพพอร์ตการลงทุนของตัวเองกันเป็นแน่ เรามาดูกันว่าถ้าเราจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสไปลงทุนในต่างประเทศ เราสามารถทำได้โดยวิธีใด

4 เรื่องเล่า ทำไมหุ้นไทยถึงเจ็บกว่าและไปไม่ได้ไกลเท่าคนอื่น

1. ไม่มีหุ้นเทคอย่างใครเขา

ปัญหาน่าเศร้าใจข้อที่หนึ่งของตลาดหุ้นประเทศไทยคือบ้านเราไม่ได้มีหุ้นเทคมาเฉิดฉายแบบที่อื่น ๆ ซึ่งหุ้นเทคถือเป็นหุ้นในหมวดหมู่ที่เติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม มีการขยายสาขากว้างไกลได้ไวแบบไม่ต้องเสียเวลามาตั้งรกราก โรงงาน สถานที่ให้เสียเวลา ขยายธุรกิจได้ว่องไวแคล่วคล่อง ถ้าพลาดก็เริ่มใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็น หรือจะเรียกได้ว่าล้มไวลุกไวก็คงจะไม่ผิดนัก

แตกต่างจากหุ้นและบริษัทที่ทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ในส่วนตัวเพื่อความเข้าใจง่าย ๆ ขอยกตัวอย่างเป็นร้านขายขนมในที่นี้ขอยกตัวอย่างเป็น “ร้านขายโดนัท” ละกันครับ

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

ร้านขายโดนัทนั้นหลังแบรนด์ติดตลาดแล้วก็ต้องมาคิดอีกว่า ต้องก่อสร้างขยายสาขาให้เยอะ เพื่อที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ แต่ถึงอย่างนั้นหากขยายธุรกิจเร็วเกิดไป จัดการกันไม่ทันก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก

และหากเรามาเทียบกับวลีเด็ดของประเทศไทยที่ถือได้ว่า เป็นประเทศที่มีอาหารหลากหลายที่สุด และที่สำคัญผลัดกันเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันราวกับเซเว่น ไม่ต้องทนหิวแบบบางประเทศในที่อื่น ๆ ที่ปิดคือปิด ไปกดอาหารตู้กินเอาเอง

ฟังแบบนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องดีในเชิงการมาเที่ยวหรือใช้ชีวิตก็คงจะใช่ครับ แต่ธุรกิจแบบนี้นอกจากขยายตัวได้ช้ากว่าหุ้นเทคแล้ว เจอวิกฤติแบบโควิดให้ปิดเมืองเข้าไปก็ยิ่งน่าเศร้าใจไปยิ่งกว่าเดิม เพราะ อาจทำให้คนไม่มาซื้อของกินข้างนอก สั่งแกรบเลือกกินเป็นบางเจ้าเสียมากกว่า

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็แตกต่างกับหุ้นต่างประเทศที่มีความโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นหุ้นเทคโนโลยีจากจีนและอเมริกา ที่เป็นธุรกิจแบบทดลองว่องไว ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งสาขา และหากจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ผมอยากให้ลองนึกถึง Microsoft ที่ปล่อยซอฟต์แวร์ให้โหลดออนไลน์ได้ อีกทั้งยังมีระบบ Cloud เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลโลกหน้าที่เป็นตัวเร่งกำไรชั้นเยี่ยมของบริษัทในอนาคตข้างหน้า

หรือถ้าเราจะแวะมาดูแถบ ๆ เพื่อนบ้านใกล้ ๆ เราหน่อยก็มี Alibaba กับ JD.com ที่เปิดให้ผู้คนซื้อขายออนไลน์ได้ทันที เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมานั่งตั้งและขยายสาขาเจอความเสี่ยงมากมายเช่นเดียวกัน

2. หุ้นไบโพล่า (เล่นรอบ) มากเกินไป

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

ภาพแสดงสัดส่วน Sector หลักหุ้นไทยจากดัชนี SET 50 ที่เน้นหนักกลุ่มพลังงานมาก ๆ (27%)

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักของดัชนี SET 50

อีกหนึ่งปัญหาที่น่าเศร้าใจก็คือ ปู่ SET ของเราเองให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินค่อนข้างมาก ซึ่งหุ้นเหล่านี้อาจจะเรียกได้ว่ามาเป็นรอบ ๆ เศรษฐกิจดีก็มา เศรษฐกิจไม่ดีก็ป่วย เหมือนคนไข้ป่วยอิด ๆ ออด ๆ

ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น หุ้นน้ำมันที่พอราคาน้ำมันแห้งเหือดยิ่งกว่าแอ่งนำ้ในทะเลทราย (แตะติดลบอีกด้วยตอนช่วงวิกฤติล่าสุด) ก็อาจทำให้หุ้นกลุ่มเหล่านี้สั่นคลอนและมีรายได้ที่ลดลง

หรือจะเป็นหุ้นกลุ่มการเงินที่พอผู้คนไม่มีรายได้ ก็อาจชำระหนี้ไม่ได้และยิ่งมาบวกกับปัญหาโลกแตกอย่างการที่เงินเก็บของคนไทย ที่มานึกดูดี ๆ แล้วนึกว่าเงินเก็บสมัยกรุงศรีอยุธยาแบบมี 1,000 บาทก็เป็นมหาเศรษฐีด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงครับ สำหรับการชำระหนี้คืนหากขาดรายได้นาน ๆ

ซำ้ร้ายประเทศไทยเราดันเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอีก ยิ่งทำให้การที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นเหมือนกับต้องฝากความหวังไว้กับฝรั่งชาวต่างชาติซะเป็นส่วนใหญ่ และเราต้องรอให้เขามาซื้อของ ๆ เราไป เราถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งก็อาจจะไปส่งผลกับหุ้นกลุ่มธนาคารที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจให้เติบโตจะได้เก็บดอกเบี้ยเพิ่มได้ และให้คนกู้เงินเยอะขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นเองหุ้นเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีครับ หากเรามั่นใจว่ามีบริษัทที่แข็งแกร่งในช่วงวิกฤติเราอาจจะได้กำไรแบบเป็นกอบเป็นกำจากหุ้นเหล่านี้ได้ แต่ข้อเสียก็คือหุ้นเหล่านี้ดู ๆ แล้วลงทุนระยะยาวแบบหุ้นเทคไปเลยก็คงจะไม่ใช่สักเท่าไร

3. พึ่งพาคนอื่น (มากเกินไป)?

เป็นที่รู้กันครับว่าไทยเราเป็นประเทศแห่งการส่งออก แต่สัดส่วนการส่งออกที่มากเกินไปนั้น ก็อาจหมายความอีกนัยหนึ่งว่าเราต้องพึ่งพาคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจากข้อมูลเราก็พบว่าไทยมีสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP คิดเป็นถึง 59.74% หรือเรียกได้ว่ารายได้ของคนไทยมาจากฝรั่งหรือชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการเป็นเช่นนี้ผลเสียของมันก็คือหากเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมาไม่ว่าจะศึกในหรือศึกนอก โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักด้วยแหละ ก็อาจทำให้เราเจ็บแบบคูณสอง

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

จากข้อมูลในปี 2019 ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 59.74%!

ซึ่งตอนนี้เราก็มีทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางโรคระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอนในประเทศมหาอำนาจที่เป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักของเราอย่างสหรัฐก็อาจทำให้ไทยเราได้รับผลกระทบได้ครับ ซึ่งทางสหรัฐเองในช่วงนี้ก็มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในระดับที่น่าเป็นห่วงเลยทีเดียว

หรือเราอาจสรุปได้ว่าหากทางสหรัฐเกิดอะไรขึ้นมาเราอาจต้องเผชิญกับวิกฤติที่หนักหน่วงไปยิ่งกว่าเดิมก็ว่าได้

4. กำไรเหือดแห้งเนื่องจากธุรกิจยังเป็นแบบเดิม ๆ

เราอาจได้เห็น Amazon ทำกำไรได้กลางวิกฤติ หรือจะเป็น Microsoft ที่มีระบบ Cloud เป็นตัวชูโรงแห่งการเติบโตในอนาคตและเร่งกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งธุรกิจเหล่านี้มีส่วนต่างกำไรแบบเหนือชั้น ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับบริษัทส่งต่อสู่นักลงทุน ให้หลาย ๆ คนเข้าซื้อผลักดันราคาพุ่งขึ้นไปแบบต่อเนื่องในระยะยาว!

https://finbox.com/NASDAQGS:MSFT/explorer/gp_margin

ภาพแสดงความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของ Microsoft

ซึ่งถ้าหากเรามางัดกันแบบหมัดต่อหมัด หุ้นเทคโนโลยีมีกำไรต่อหุ้นที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดถ้าเทียบกับธุรกิจแบบเดิม ๆ

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

ภาพแสดงกำไรต่อหุ้นของ Walmart ที่ทำได้เพียงหลักหน่วย

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

ภาพแสดงกำไรต่อหุ้นของ Amazon ที่ทำได้ถึงหลักสิบ!

แต่ถ้าเรามามองย้อนดูที่ไทยเราแล้วหลัก ๆ เราอาจจะยังมีธุรกิจเล่นรอบดังที่ได้กล่าวไว้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจไม่ดี ตลาดหุ้นไทยนอกจะเติบโตได้ยากแล้วในเชิงมูลค่ายังอยู่ในระดับที่แพงอีกด้วยครับ และอาจเรียกได้ว่า เราอาจเจ็บไม่แพ้ชาติอื่น ๆ เช่นเดียวกันหากตลาดพังลงมา

โอกาสอยู่รอบตัวเราเสมอ…

ในเมื่อการลงทุนในไทยอาจไม่ตอบโจทย์ การลงทุนในประเทศอื่น ๆ ที่มีความพร้อมและเติบโตได้ดีกว่า ก็ดูจะเป็น “ทางเลือกที่ดีที่สุด” ที่ยังเหลืออยู่

เราสามารถเลือกลงทุนในอเมริกา ดินแดนแห่งความมั่งคั่งเพรียบพร้อมไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพเติบโตสูง อีกทั้งยังมีสถานะสุดแกร่งอย่างการที่เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินยืนหนึ่ง ทำให้อเมริกาพิมพ์เงินได้แบบต่อเนื่อง กระตุ้นเศรษฐกิจแบบไร้กังวล

หรือจะเป็นเอเชียที่มีมังกรผงาดที่พร้อมสู้และเร่งพัฒนามาโดยตลอดอย่าง “จีน” ที่มีระบบการจัดการอันยอดเยี่ยม ประชากรอุ่นหนาฝาคั่งที่พร้อมใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการในชาติของตน พึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งการลงทุนใน “เอเชีย” ก็ยังมียักษ์ใหญ่อย่างจีนเป็นประเทศที่มีอิทธิพลและมีน้ำหนักเป็นหลักในดัชนีหุ้น

แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนในหุ้นอเมริกาที่มีความโดดเด่นนั้นมีราคาที่ต้องยอมจ่าย หุ้นบางตัวหลายร้อยดอลลาร์ต่อหุ้น หรือ บางตัวอาจมีราคาถึงหลายพันดอลลาร์ต่อหุ้น อีกทั้งการซื้อหุ้นเองบางทีต้องติดจำนวนหุ้นขั้นต่ำที่ต้องซื้ออีก ซึ่งอาจสร้างความลำบากใจในการบริหารหน้าตักการลงทุน แต่ปัญหาเหล่านี้จะถูกแก้ไขไปได้ทันที หากเราเปลี่ยนและมาเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นแทน ซึ่งมีขั้นตำ่แบบเอื้อมถึงจับต้องได้ ตั้งแต่หลักหน่วยไปจนถึงหลักพัน และไม่ได้มีจำนวนหุ้นขั้นต่ำที่มาจำกัดขอบเขตและศักยภาพของเราอีกด้วย!

ต่อไปเราลองมาสำรวจดูผลตอบแทนระหว่างการลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศกันว่าจะมีความแตกต่างกันมากขนาดไหน?

ตลาดหุ้นไทยวัยชราที่รอวันดับ

ภาพแสดงผลตอบแทนกองทุนในภูมิภาคต่าง ๆ กองทุนหุ้นอเมริกา (เส้นสีฟ้า), กองทุนหุ้นจีน (เส้นสีเหลือง), กองทุนหุ้นเอเชีย (เส้นสีส้ม), และกองทุนหุ้นไทย (เส้นสีเทา)

อยากเปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนรวดเดียว แบบไม่ต้องนั่งไล่เปิดหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet) ให้เสียเวลา คลิกที่นี่

ซึ่งถ้าหากเรามาแลกผลตอบแทนของหุ้นแต่ละภูมิภาคกันแบบหมัดต่อหมัด เราก็จะเห็นได้ว่ากองทุนหุ้นต่างประเทศชนะหุ้นไทยแบบเห็น ๆ ถ้าเห็นแบบนี้แล้วการลงทุนในต่างประเทศอาจจะถือได้ว่าเป็นโอกาสที่เหล่านักลงทุนไม่ควรพลาดก็ว่าได้ ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะ เราจะได้ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์หรือแม้แต่ผู้จัดการกองทุนที่จะมาเลือกหุ้นคัดเน้นให้กับเรา ที่พร้อมสร้างโอกาสโดยการกระจายการลงทุนหลากหลายรูปแบบ หมดปัญหาเดินสุ่มด้วยตัวเอง หรือลดปัญหาการเกิดข้อผิดพลาดในการเลือกหุ้นรายตัวด้วยตนเอง

ส่วนคนที่ชื่นชอบการเลือกหุ้นด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้เช่นกัน! คุณสามารถเลือกกองทุนที่คุณคิดว่ามีสัดส่วนหุ้นไส้ในที่สุดยอดที่สุด ค้นวิเคราะห์เจาะลึก ไม่เสียความเป็น Value Investor, Macro Investor หรือจะนั่งตีกราฟเองจากดัชนีหลักของกองทุนหุ้นภูมิภาคนั้น ๆ โดยไม่เสียความเป็น Technical Analyst ในตัวคุณ!

เลือกค้นหากองทุนต่างประเทศ รวมถึงกองทุนอื่น ๆ คลิกที่นี่

References

https://finbox.com/NASDAQGS:MSFT/explorer/gp_margin

https://th.tripadvisor.com/Restaurant_Review-g34436-d914761-Reviews-Donut_Shop-Merritt_Island_Brevard_County_Florida.html

https://www.macrotrends.net/stocks/charts/AMZN/amazon/eps-earnings-per-share-diluted

https://www.macrotrends.net/stocks/charts/WMT/walmart/eps-earnings-per-share-diluted

https://www.set.or.th/dat/report/product/SET50_MonthlyReport_20201030.pdf

https://www.theglobaleconomy.com/Thailand/exports/