ธรรมชาติของการลงทุนหุ้นมีทั้งขึ้น และลง หากเราเอาจิตเอาใจไปผูกแต่ว่าหุ้นต้องขึ้นเพียงทางเดียว หากหุ้นขยับปรับลง แน่นอนว่าเราจะต้องทุกข์ โดยเฉพาะช่วงกลางปี 2561 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมามาก สร้างความเสียหายให้กับพอร์ตหุ้นของแต่ละคนอย่างน่ากลัว เราจะทำอย่างไรดี …

การลงทุนหุ้นนั้นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำก็คือ มองหาหุ้นลงทุน ลงทุนในหุ้นที่เราศึกษามาดีแล้ว ประเมินมูลค่าอย่างสม่ำเสมอ หากหุ้นเกินมูลค่าควรแบ่งขายออกไปบ้าง และต้องมี “เงินสด” เป็นหน้าตักเอาไว้ยามฉุกเฉิน การวางแผนการลงทุนที่หลายคนมองข้ามเป็นเรื่องสำคัญ จะทำให้เรารอดจากวิกฤติได้ แผนการเหล่านั้นมีอะไรบ้าง เรามีทางเลือกอะไรบ้าง ไปดูกันครับ …

ทางเลือกแรก “ถือแล้วรอจนกว่าพายุจะสงบ”

สำหรับคนที่ไม่ได้วางแผนถือเงินสดเอาไว้ ยามตลาดหุ้นขาลง ถ้าเรามั่นใจว่าหุ้นที่เราทำการบ้านมาดีแล้วยังมีพื้นฐานที่ดี และจะกลับมาได้ การเลือกที่จะถือรอจนกว่าพายุใหญ่จะสงบ ถือเป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา ว่าที่จริง … นักลงทุนระดับเซียนหลาย ๆ ท่านก็เลือกแบบนี้ หุ้นหลายตัวยามตลาดผันผวนราคาจะหล่นลงมากองอยู่กับพื้น แต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดี แน่นอนที่สุดว่าราคาย่อมกลับไปยืนแบบเดิม หรืออาจจะเติบโตขึ้นกว่าเดิมหากกิจการยังคงเติบโต

ทางเลือกที่สอง “คัทหุ้นทิ้ง เก็บเงินสดไว้รอตลาดถล่ม”

สำหรับทางเลือกที่สอง นักลงทุนควรจะทำก็ต่อเมื่อถือหุ้นที่ไม่ดี ถือหุ้นที่พื้นฐานแย่ กระแสเงินสดไม่ดี ขาดทุนจากการดำเนินงาน และไม่มีปันผล

สาเหตุที่เราต้องคัททิ้งเนื่องจากยามที่ตลาดหุ้นตกอย่างรุนแรง หุ้นที่ยังทำกำไร มีกระแสเงินสดดี และมีปันผล จะลงน้อยกว่าหุ้นที่ขาดทุนจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดไม่ดี และไม่มีปันผล เพราะอย่างน้อยที่สุด เงินปันผลจะช่วยค้ำราคาหุ้นได้ ว่าที่จริงยามตลาดผันผวน “หุ้นปันผล” มักเป็นที่นิยมมากขึ้น

หุ้นอีกประเภทที่เราควรขายทิ้งไปก่อนถ้าไม่มั่นใจก็คือ หุ้นที่มีพีอีสูงลิ่ว โดยที่ผลกำไรไม่เติบโตจริง หรือการเติบโตไม่ทันราคาหุ้น หุ้นประเภทนี้ยามตลาดตกต่ำคนมักจะขายทิ้งกันแบบไม่สนราคา ด้วยความที่ราคาแพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เกิดแรงเทขายอย่างมากมายมหาศาล

ทางเลือกที่สาม “บริหารเงินสดก่อนเกิดวิกฤติ”

ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ผมใช้ การบริหารเงินสดในมือถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักเล่นหุ้นที่หลายคนมองข้าม … นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มีเงินในมือมักจะ “คันมือ” ซื้อหุ้นจนหมดเงินสดที่หน้าตัก ยามหุ้นขึ้น ตลาดสดใส ก็อยากจะซื้อเพิ่ม แม้หุ้นจะมีราคาแพง แต่ก็อยากซื้อ ว่าที่จริงแล้ว เราควรจะทำตรงกันข้าม นั่นคือ ยามที่หุ้นขึ้นแรงเราควรแบ่งขายหุ้นมาเก็บเงินสดบ้าง เวลาหุ้นตกหนัก ๆ เราควรมีเงินสดในมือให้น้อยที่สุด

วิธีที่ผมใช้ก็คือ เมื่อหุ้นขึ้นแรงผมจะขายเก็บเงินสดไว้ราว 10-20% ของมูลค่าพอร์ตการลงทุน ถ้าขึ้นดีมาก ๆ ก็จะขายออกมามาก ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าพอร์ตการลงทุนเรามีขนาดหนึ่งล้านบาท ยามหุ้นเป็นขาขึ้นสุด ๆ เราควรมีเงินสดราวสองแสนบาท

ในยามหุ้นตก เงินสดในมือของเราจะมีค่ามาก ยามหุ้นตกหนัก ๆ ผมมักจะนำเงินสดที่ได้กลับไปซื้อหุ้นดีในราคาที่มีส่วนลด โดยเงินสดบนหน้าตกยามหุ้นตกจะเหลือต่ำกว่า 5% หรืออาจซื้อจนเกือบหมดหน้าตักเลยก็มีครับ

อย่างไรก็ตามการซื้อหุ้นในช่วงขาลงเราควรทยอยรับ ไม่ควรรับไม้ใหญ่ ๆ เพราะเมื่อหุ้นตกหนักมันจะหนักกว่าที่เราคิดเสมอ อย่าประมาทคิดว่าหุ้นดีลดราคาแล้ว จะลดลงอีกไม่ได้ ไม่จริงเสมอไปครับ

ข้อสรุปก็คือ … ยามหุ้นตกหนัก เราควรตั้งสติก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลาม ทางเลือกที่มีก็คือ ถ้าหุ้นพื้นฐานดีควรถือต่อไป แต่ถ้าหุ้นราคาแพง หรือพื้นฐานไม่ดีควรคัททิ้งเสีย และควรบริหารหน้าตักอย่างสม่ำเสมอ เมื่อหุ้นขึ้นแรงต้องแบ่งขายออกมาบ้าง เวลาหุ้นตกค่อยนำเงินสดไปช้อนซื้อ ทำซ้ำ ๆ ไปมา ถ้าเราเลือกหุ้นได้ถูกตัว เราจะสามารถมั่งคั่งขึ้นได้ทุกครั้งที่มีวิกฤติครับ

โดย นายแว่นลงทุน