ว่ากันว่าในช่วงนี้จะเป็นปีทองที่กองทุนตราสารหนี้ Comeback อย่างโดดเด่น และเป็นตัวเลือกของการลงทุนที่น่าสนใจ ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคง ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น
คำถามคือถ้าอยากจะลงทุนตราสารหนี้ในจังหวะนี้ มีอะไรบ้างที่เราควรรู้ ? บทความนี้ได้สรุปทุกเรื่องสำคัญออกมาให้เห็นภาพแบบง่าย ๆ ใน 10 ข้อ
ตราสารหนี้ คืออะไร ?
ตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินชนิดหนึ่งที่รัฐบาลหรือบริษัทเอกชนออกขายให้กับนักลงทุน โดยที่ผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ “ดอกเบี้ย” กลับมาคืนมาตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะได้รับ “เงินต้นคืน” เมื่อครบกำหนดอายุตราสาร
เหมือนมีคนมายืมเงินเราไปใช้ แล้วสัญญาว่าจะจ่ายดอกผลให้เป็นการตอบแทน
การแบ่งประเภทของตราสารหนี้
ความจริงแล้วเราสามารถแบ่งประเภทตราสารหนี้ได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามอายุ แบ่งตามระดับความเสี่ยง แต่ในที่นี้จะขอแบ่งให้เห็นภาพง่าย ๆ ตามประเภทผู้ออกตราสาร ดังนี้
- ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ
ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็อย่างเช่น ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาล ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชน นำไปใช้ในพัฒนาประเทศ ผ่านการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐ ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการเงิน
- ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน
เช่น ตั๋วแลกเงิน (BE) ที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น อายุไม่เกิน 270 วัน และหุ้นกู้ ตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุเกิน 270 วัน ซึ่งเอกชนจะระดมทุนเพื่อใช้ในเป้าหมายที่แตกต่างกันไป อาทิ เป็นเงินทุนขยายธุรกิจ เสริมสภาพคล่อง รวมถึงชำระหนี้ เป็นต้น
ความเสี่ยงของตราสารหนี้
การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ตราสารหนี้ก็เช่นกัน ซึ่งความเสี่ยงหลักที่ต้องระวังก็คือ การผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ยืมเงินไปแล้วไม่คืน” นั่นเอง
เราสามารถดูความเสี่ยงนี้ได้ตั้งแต่ก่อนตัดสินใจลงทุน จากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating โดยทั่วไปจะแบ่งเกรดของตราสารหนี้ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
- Investment Grade หรือกลุ่มน่าลงทุน
ได้รับ Credit Rating ตั้งแต่ AAA ไปจนถึง BBB- ถือว่าเป็นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ มั่นคง และมีความน่าเชื่อถือสูง - Speculative Grade หรือกลุ่มเก็งกำไร
ได้รับ Credit Rating ตั้งแต่ BB+ ไปจนถึง D โดยเรามักเรียกกลุ่มนี้ว่า High Yield Bond เพราะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็แลกมากับโอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้มากกว่า
จำไว้ว่าราคาของตราสารหนี้จะขึ้นลงสลับกับอัตราดอกเบี้ย เรื่องนี้หลายคนอาจจะงงว่าทำไม ขออธิบายแบบสั้น ๆ ว่า
เพราะผลตอบแทนของตราสารหนี้ อิงตามอัตราดอกเบี้ย ลองนึกตามถ้าตราสารหนี้ที่ออกเมื่อปีก่อนให้ดอกเบี้ยแค่ 2% ในราคาขาย 1,000 บาท แต่ตราสารหนี้ที่ออกใหม่ให้ดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 5% แปลว่านักลงทุนต้องอยากซื้อตราสารหนี้ที่เพิ่งออกใหม่มากกว่า จึงทำให้ราคาตราสารหนี้เดิมที่มีในตลาดต้องถูกลงนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ตราสารหนี้ที่มีอายุยาวกว่า ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาจากอัตราดอกเบี้ยมากกว่าด้วย
โดยช่วงที่มีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ลดลง จะเห็นเลยว่าราคาของตราสารระยะยาว นั้นได้รับผลกระทบมากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น
ปกติแล้วการลงทุนในตราสารหนี้มักจะถูกจำกัดไว้สำหรับนักลงทุนสถาบัน และผู้ที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก ดังนั้น ทางเลือกลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์นักลงทุนรายย่อยได้ดีกว่าลงทุนตราสารหนี้รายตัว ทั้งการใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่า ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า มีสภาพคล่องสูง และมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล
แล้วจังหวะแบบไหนที่เราควรลงทุนกองทุนตราสารหนี้
สรุปง่าย ๆ ในช่วงที่ดอกเบี้ยขาขึ้น เราควรจะเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่อายุสั้นๆ เช่น อายุน้อยกว่า 1 ปี เพราะเวลาที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ตราสารหนี้กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบของราคาไม่แรงมาก
ในทางกลับกัน หากดอกเบี้ยเป็นขาลง ก็ควรเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่อายุยาว มากกว่า 1ปีขึ้น ซึ่งเหมาะกับแผนการลงทุนระยะยาว และมีโอกาสรับผลกำไรจากการปรับตัวขึ้นของราคาตราสารหนี้
Bond is Back! เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนสำหรับปี 2023 ที่ FINNOMENA Investment Team ได้มีคำแนะนำ หลังธนาคารกลางทั้งหลายกำลังส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใกล้สิ้นสุดลงทุกที เนื่องจากเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่เริ่มมีความน่าสนใจอีกครั้ง
แนะนำทยอยเข้าสะสม กองทุนตราสารหนี้โลกคุณภาพสูง ได้แก่ UGIS-N (แบบสะสมมูลค่า) และ UGIS-A (แบบรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ)
กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้สถาบันการเงิน และตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ในหน่วยลงทุนของ PIMCO GIS Income Fund บลจ. ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านตราสารหนี้ โดยเน้นสร้างรายได้สม่ำเสมอ บนความผันผวนที่ต่ำเป็นหลัก
กองทุน UGIS ตอบโจทย์การวิเคราะห์การลงทุนตามหลัก MEVT Call ของ FINNOMENA ที่ประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ในระยะกลาง 6-12 เดือน ดังนี้
- Macro แรงกดดันเงินเฟ้อและดอกเบี้ยลดลง
- Earnings บริษัทจดทะเบียนยังมีภาระหนี้ที่ต่ำเมื่อเทียบกับปี 2008
- Valuation อัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ในระดับน่าสนใจ และกําลังจะปรับตัวลง
- Technical ในอดีตตราสารหนี้มักสร้างผลตอบแทนดีหลังเงินเฟ้อพีค
คัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพกับ “MEVT Call”
👉 ลงทุนใน MEVT Call คลิก >>> https://finno.me/mevt-web
เปิดบัญชีวันนี้ รับกองทุนฟรี ! 100 บาท เลือกกองทุนที่ใช้ได้เลย
👉 รับคูปอง คลิก >>> https://finno.me/mevt-oa-pro
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | MEVT Call เป็นคำแนะนำการลงทุนตามกรอบการพิจารณาของ FINNOMENA ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในช่วง 6 – 12 เดือนข้างหน้าเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT