กำไรล้าหลัง

การรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของ SET กำลังอยู่ในช่วงของการรายงานภาค Real Sector กันอย่างเข้มข้น คาดว่าผลประกอบการรวมของ Real Sector จะอยู่ที่ราว ๆ 8 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับผลประกอบการของกลุ่มธนาคารฯ ซึ่งรายงานไปแล้วเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. 64 ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท กำไรของตลาดในงวดไตรมาส 3 ปี 2564 จะอยู่ที่ 1.22 แสนล้านบาท -0.08% YoY และ -57% QoQ

ผลประกอบการอันย่ำแย่ในไตรมาส 3 เป็นสิ่งที่ตลาดคาดไว้กันอยู่แล้ว จากสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างรุนแรงของ COVID-19 สายพันธ์เดลตา ซึ่งส่งผลให้เกิดมาตรการ Lockdown เต็มไตรมาส โดยผลประกอบการมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในไตรมาส 4 หลังสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย การยกเลิก Lockdown และเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว

ประเมินผลประกอบการในไตรมาส 4 กำไรตลาดจะฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับ 1.85 แสนล้านบาท เมื่อรวมกำไรจากไตรมาส 3 ที่ 1.22 แสนล้านบาท และกำไรครึ่งปีแรกที่ 5.44 แสนล้านบาท กำไรตลาดรวมในปี 2564 จึงน่าจะอยู่ที่ 8.50 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 74.26 บาทต่อหุ้น เติบโต 55% YoY

EPS ปี 2564 ที่ 74.26 บาทต่อหุ้น ยังค่อนข้างห่างไกลจากระดับ EPS ปกติก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 เมื่อ ก.พ. 63 โดยค่า Current EPS ณ สิ้น ม.ค. 63 อยู่ที่ระดับ 82.34 บาท หากอยากเห็น EPS กลับไปก่อนเกิดเรื่อง COVID-19 อาจต้องรอการฟื้นตัวของกำไรตลาดในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะฟื้นขึ้นมาที่ระดับ 9.96 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น EPS ที่ 85 บาทต่อหุ้น เติบโต +14.45% YoY

กำไรตลาดยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่ปัญหาคือ SET Index ปัจจุบัน (9 พ.ย.64) มาอยู่ที่ระดับ 1,631 จุด ถือเป็นระดับที่สูงกว่าก่อนเกิด COVID-19 อีก (SET Index ณ 31 ม.ค.63 อยู่ที่ 1514.44 จุด) เท่ากับว่าดัชนีได้ขึ้นนำกำไรมาไกลมากแล้ว หรืออาจตีความได้ว่า SET Index ขึ้นตอบรับการฟื้นตัวของกำไรในปีหน้ามาเรียบร้อย เท่ากับว่า Valuation ของ SET Index อยู่ในระดับที่แพงเกินพื้นฐานในปัจจุบัน (กำไรตลาด) ไปแล้ว

มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือไม่?

หากดูแค่เฉพาะภาพ SET Index นั่นคือเรื่องจริงที่ Valuation ของตลาดแพงรับกับกำไรตลาดไปล่วงหน้าถึง 12 เดือนแล้ว แต่หากไปเจาะไส้ในจะพบว่า ภาพความแพงที่เห็น มันกลับไม่ได้แพงอย่างที่เข้าใจ

SET Index ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2564 – 9 พ.ย.64 +12.58% แต่ SET50 Index ให้ผลตอบแทนเพียง 7.70% นั่นเท่ากับว่าตลาดถูกดึงขึ้นด้วยกลุ่ม Non-SET50 Index ซึ่งบวกขึ้นมากว่า 21.17% โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก sSET Index ให้ผลตอบแทนร้อนแรงกว่า 48.68% ดัชนี sSET มาอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี ทั้ง ๆ ที่กำไรของบรรดาบริษัทขนาดเล็กเองก็ยังไม่ได้เห็นภาพการฟื้นตัวที่โดดเด่น

หุ้นขนาดกลาง-เล็กทั้งหมดมีขนาด Market Cap รวมกันเพียง 36% ของตลาด แต่การที่หุ้นเหล่านี้สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 20%-50% จึงสามารถดึงให้ SET Index บวกได้เกือบถึง 13% ขณะที่ SET50 Index ให้ผลตอบแทนเพียง 7.7% สอดคล้องกับภาพกำไรของหุ้นใหญ่ที่ยังฟื้นตัวช้า ทั้งนี้กำไรของบริษัทใน SET50 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 72% ของทั้งตลาด จึงทำให้ภาพรวมของกำไรตลาดฟื้นตัวช้าตามไปด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าจะให้สรุปว่า SET Index ขึ้นมาได้เพราะการปั่นของหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปนัก

จากภาพเปรียบเทียบ %Change ของ SET Index SET50 Index และ Current EPS ของตลาดตั้งแต่ปี 2558-ปัจจุบัน จะพบว่า แม้ตอนนี้ SET Index กลับไปก่อนเกิดเรื่อง COVID-19 แล้วก็จริง แต่ SET50 Index ยังอยู่ต่ำระดับปกติ ซึ่งสอดคล้องกับกำไรตลาดที่ยังห่างไกลจากระดับก่อนเกิด COVID-19

พูดง่าย ๆ ว่า กำไรตลาดอาจล้าหลังเมื่อเทียบกับ SET Index แต่กับ SET50 Index แล้วถือว่าสมเหตุสมผล ดังนั้นถ้าอะไรที่จะเรียกว่าแพง มันคือหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ขึ้นมาไม่สอดคล้องกับกำไร แต่สำหรับหุ้นใหญ่ใน SET50 ไม่ถือว่าแพงเลยเมื่อเทียบกับภาพกำไรที่เกิดขึ้น

ประกิต สิริวัฒนเกตุ
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์