Stock-Dividend-01

ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Shareholders’ Equity เป็นองค์ประกอบทางการเงินที่สำคัญยิ่งของบริษัททุกแห่ง เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจทั้งหมด โดยการเป็นแหล่งทุนเริ่มแรกเพื่อนำไปผลิตสินค้าหรือบริการที่จะกลายเป็นยอดขายให้กับบริษัท เพื่อสร้างผลกำไรให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไปไม่รู้จบ ตามหลักบัญชีขั้นพื้นฐาน โครงสร้างทางการเงินของบริษัทจะเป็นไปตามสมการที่ว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า สินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ถ้าไม่ได้มาด้วยเงินของเจ้าของ (ผู้ถือหุ้น) เอง ก็เกิดจากการก่อหนี้สินเพื่อไปซื้อมา

Share_Dividend_2

โดยทั่วไป ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจมาแล้วมีผลกำไรตามที่ต้องการ จะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ 1) ทุนชำระแล้ว (เงินทุนที่ผู้ถือหุ้นนำเข้ามาในบริษัทจริงๆ) และ 2) กำไรสะสม (ผลรวมของกำไรสุทธิที่ได้จากการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา)

Share_Dividend_3

สำหรับการลงทุนในหุ้นซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี แท้จริงแล้ว ก็คือการซื้อมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นที่แบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ เท่าๆ กัน (หรือที่เรียกว่า หุ้น) เพื่อให้คนจำนวนมากสามารถร่วมกันเป็นเจ้าของบริษัทได้ตามสัดส่วนเงินที่เราร่วมลงทุนไป นั่นเอง และเมื่อบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจจนมีผลกำไร บริษัทมีทางเลือกในการจัดสรรผลกำไร  2 แนวทางคือ (1) เก็บไว้เป็นทุนหมุนเวียนภายในบริษัท ในรูปของกำไรสะสม หรือ (2) ส่งผลกำไรกลับไปยังผู้ถือหุ้น ในรูปของการจ่ายปันผล ซึ่งทั่วไป เรามักพูดกันถึงวิธีการจัดการสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือการบริหารหนี้สินให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามสัญญาที่มีต่อเจ้าหนี้ได้อย่างครบถ้วน แต่ในโอกาสนี้ จะขอนำเรื่องการจ่ายปันผล ที่กระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับนักลงทุนอย่างเราๆ ท่านๆ มาเล่าให้ฟังครับ

1. ข้อกฎหมายและประเด็นภาษีเงินได้

1.1 คุณสมบัติของบริษัทที่จะจ่ายปันผลได้

พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 มาตรา 115 กำหนดไว้ว่า “การจ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่นนอกจากเงินกำไรจะกระทำมิได้ ในกรณีที่บริษัทยังมียอดขาดทุนสะสมอยู่ ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผล” ดังนั้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ ส่วนทุนจะต้องมีกำไรสะสมเป็นบวกอยู่เท่านั้น หากบริษัทไหนมีผลขาดทุนสะสมค้างอยู่ ถึงแม้บางปีจะมีกำไรสุทธิ แล้วอยากจะจ่ายปันผล ก็ไม่สามารถทำได้ (แต่กรณีนี้ก็สามารถใช้กลยุทธ์ลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมก่อนแล้วค่อยจ่ายปันผลก็ได้)

1.2 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และการเครดิตภาษี

บริษัทที่เป็นผู้จ่ายปันผล มีหน้าที่หักภาษีหัก ณ ที่จ่าย (“Withholding Tax) ในอัตราร้อยละ 10 ของมูลค่าปันผลที่จ่าย (ไม่ว่าจะจ่ายปันผลเป็นเงินสด หรือ เป็นหุ้น ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป) เช่น บริษัท XYZ จำกัด (มหาชน) ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 10 บาท หากเราถือหุ้น XYZ อยู่จนมีสิทธิได้รับเงินปันผล จำนวน 100 หุ้น เราก็จะได้เงินสดสุทธิ 10 x 100 x 90% หรือ 900 บาท โดยบริษัทจะหักเงินไว้ 100 บาทเพื่อนำส่งกรมสรรพากรต่อไป นอกจากนั้น ผู้ที่ได้รับเงินปันผล ยังสามารถพิจารณาขอคืนภาษี หรือที่เรียกว่า การเครดิตภาษี ได้ด้วย ซึ่งมีการคำนวณดังนี้ [อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทที่จ่ายปันผล] หารด้วย [1 – อัตราภาษีฯ] เช่น XYZ ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของกำไร อัตราการได้รับเครดิตภาษีของผู้ถือหุ้นจะเท่ากับ 20% / (100% – 20%) หรือ 1/4 แล้วนำไปคูณกับจำนวนปันผลที่ได้รับ (อ่านเพิ่มเติมเรื่องเครดิตภาษีได้ที่นี่  http://www.rd.go.th/publish/5937.0.html#mata47_2)

2. รูปแบบการจ่ายเงินปันผล

นอกจากการจ่ายปันผลเป็นเงินสด ซึ่งทำกันโดยทั่วไป บริษัทอาจเลือกตอบแทนผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายเป็นหุ้นปันผลแทนก็ได้ (หุ้นก็สามารถตีมูลค่าเป็นเงินได้เช่นกัน)

2.1 กรณีจ่ายปันผลเป็นเงินสดล้วนๆ สมมติบริษัท XYZ จ่ายปันผลเป็นเงินสด หุ้นละ 1.15 บาท และมีหุ้นทั้งหมด 10 ล้านบาท คิดเป็นเงินสดที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น 11.50 ล้านบาท

• ก่อนจ่ายปันผล

Share_dividend_4

• หลังจ่ายปันผลเป็นเงินสด จำนวนรวมทั้งสิ้น 11.50 ล้านบาท

Share_dividend_5

ซึ่งเงินปันผล 11.50 ล้านบาทนั้น จะไปถึงผู้ถือหุ้นจริง ๆ เพียง 10.35 ล้านบาท ส่วนอีก 1.15 ล้านบาท จะถูกหักไว้เป็น Withholding Tax

จุดสังเกต #1: ส่วนของผู้ถือหุ้นตอนนี้จะเหลือ 138.50 ล้านบาท

2.2 กรณีจ่ายปันผลเป็นหุ้นและเงินสด สมมติให้บริษัท XYZ

  • จ่ายหุ้นปันผล อัตรา 10 หุ้นเดิม ได้หุ้นใหม่เป็นหุ้นปันผล 1 หุ้น (10:1) ซึ่งเดิมมีหุ้นอยู่ 10 ล้านหุ้น เมื่อจ่ายหุ้นปันผลแล้วก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 10 บาทเท่าเดิม) รวมเป็นหุ้นทั้งหมด (เดิม + ปันผล) 11 ล้านหุ้น โดยบริษัทจะลดกำไรสะสมลงไป 10 ล้านบาท และไปเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นมาอีก 10 ล้านบาท
  • จ่ายเงินสดปันผล 0.15 บาท/หุ้นเดิม มีมูลค่าเท่ากับ 0.15 x 10 ล้านหุ้น หรือ 1.50 ล้านบาท

รวมมูลค่าของการจ่ายปันผลทั้งสิ้น 10 (หุ้นปันผล 1 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท) + 1.50 (เงินสดปันผล) = 11.50 ล้านบาท (ตั้งใจให้เท่ากับกรณีจ่ายปันผลเป็นเงินสดล้วนๆ เพื่อให้เทียบกับได้ชัดเจน) ทำให้มี Withholding Tax เกิดขึ้น 11.50 x 10% หรือ 1.15 ล้านบาท

• ก่อนจ่ายเงินปันผล

Share_dividend_6

• หลังจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นและเงินสดผสมกัน

Share_dividend_7

จุดสังเกต #2: ส่วนของผู้ถือหุ้นตอนนี้จะเหลือ 148.50 ล้านบาท มากกว่าวิธีแรก 10 ล้านบาท

ถึงจุดนี้ อาจจะสงสัยว่า บริษัทจะจ่ายแต่หุ้นปันผลล้วน ๆ ไม่จ่ายเป็นเงินสดได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะหากไม่มีการจ่ายเงินสดออกมาด้วย บริษัทก็ไม่รู้จะนำเงินของบริษัทเองส่วนไหนไปจ่ายเป็น Withholding Tax ให้ราชการ (จึงต้องหักเอาจากเงินได้ของผู้ถือหุ้นเอง) กล่าวอีกอย่าง การที่บริษัทจำเป็นต้องจ่ายปันผลเป็นเงินสดควบคู่กันไปด้วย ก็เพื่อรองรับการหัก Withholding Tax นั่นเอง จึงเป็นข้อสังเกตได้ว่า เมื่อบริษัทจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น ก็จะต้องจ่ายปันผลเป็นเงินสดตามมาด้วยอีกเล็กน้อย เสมอ

ตัวอย่างจริง:

  • บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) จ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 5:1 และเป็นงินสด  0.18 บาทต่อหุ้น http://www.set.or.th/dat/news/201103/11011391.pdf
  • บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO) จ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 6:1 และเป็นเงินสด 0.0193 บาทต่อหุ้น http://www.set.or.th/dat/news/201102/11004826.pdf
  • บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (VGI) จ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 1:1 และเป็นเงินสด 0.0111111 บาทต่อหุ้น http://goo.gl/NdoFgs

3. เปรียบเทียบการจ่ายปันผลวิธีต่างๆ

ประเด็น จ่ายปันผลเป็นเงินสดอย่างเดียว จ่ายปันผลเป็นหุ้นและเงินสด (ใช้ตัวอย่างจากข้อ 2.2)
1. มูลค่ารวมของสิ่งผลตอบแทน ที่ผู้ถือหุ้นได้รับ ไม่ต่างกัน ไม่ต่างกัน
2. Withholding Tax ที่นำส่งกรมสรรพากร ไม่ต่างกัน ไม่ต่างกัน
3. มูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด หลังจ่ายปันผล ลดลงมากกว่า เนื่องจากจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด ลดลงน้อยกว่า เพราะจ่ายเป็นเงินสดเพียงเพื่อรองรับ Withholding Tax เท่านั้น
4. มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น หลังจ่ายปันผล จะลดลงเท่ากับจำนวนเงินปันผลจ่ายต่อหุ้น จะลดลงตามสัดส่วนการได้หุ้นปันผล เช่น เดิม บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น 150 ล้านบาท มีจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 10 ล้านหุ้น มูลค่าต่อหุ้นจึงเท่ากับ 15 บาทใหม่ ส่วนผู้ของถือหุ้น 148.50 ล้านบาท (หักเงินปันผลที่เป็นเงินสด) และมีจำนวนหุ้นเพิ่มเป็น 11 ล้านหุ้น มูลค่าต่อหุ้นจึงลดลงเหลือ 13.50 บาท (ลดลง 10%) ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นแต่ละรายจะไม่ขาดทุน เพราะจะได้จำนวนหุ้นเพิ่มมาอีก 10% (อัตรา 10:1)
5. ราคาหุ้นในตลาด หลังบริษัทแจ้งข่าวการจ่ายปันผล มักจะเพิ่มสูงขึ้น มักเพิ่มสูงขึ้นกว่าการจ่ายปันผลเป็นเงินสดล้วน ๆ เนื่องจากมูลค่ากิจการจะไม่ลดลงมากเท่ากรณีจ่ายเป็นเงินสดล้วน ๆ ในขณะที่ผู้ถือหุ้นจะได้สิ่งตอบแทนที่มีมูลค่าไม่ต่างกัน
6. ราคาหุ้นในตลาด ณ วันขึ้นเครื่องหมาย XD มักจะลดลงเท่ากับเงินปันผลจ่ายต่อหุ้น มักจะลดลงตามสัดส่วนการได้หุ้นปันผล +  เงินปันผลส่วนที่จ่ายเป็นเงินสด

ซึ่งเท่าที่ดูจากตารางข้างต้น การที่บริษัทเลือกจ่ายปันผลเป็นหุ้น (+ เงินสดเล็กน้อย) เหมือนจะเป็นทางเลือกที่ Win-Win ทั้งกับฝ่ายบริษัทและฝ่ายผู้ถือหุ้น เพราะฝ่ายบริษัทไม่ต้องจ่ายเงินสดออกไปนอกกิจการมากนัก แค่โอนตัวเลขรายการในส่วนของผู้ถือหุ้นไปมา ซึ่งเป็นผลดีต่อมูลค่ากิจการ ส่วนฝ่ายผู้ถือหุ้นก็ได้มูลค่าสิ่งตอบแทนเท่ากัน เมื่อเทียบกับการได้รับเงินปันผลเป็นเงินสดล้วน ๆ ดังนั้น หากเราถือหุ้น แล้วไม่ได้ปันผลเป็นเงิน แต่ได้เป็นหุ้น จงดีใจ