FINNOMENA The Opportunity Morning Brief 10/01/2022

“โอมิครอนเข้าจีนแล้ว เมืองเทียนจินพบผู้ติดเชื้อ 2 ราย ปูพรมตรวจชาวเมือง 14 ล้านคน”

ภาพความเคลื่อนไหวล่าสุดของตลาดหุ้นทั่วโลก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones ปิดที่ 36,231.66 -4.81 จุด (-0.01%) S&P500 ปิดที่ 4,677.02 -19.03 จุด (-0.41%) Nasdaq 14,935.90 ปิดที่ -144.96 จุด (-0.96%) Small Cap 2000 ปิดที่ 2,181.66 -24.72 จุด (-1.12%) VIX index อยู่ที่ 18.76 (-4.33%)

ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 ปิดที่ 4,305.83 -18.98 จุด (-0.44%) Dax เยอรมัน ปิดที่ 15,947.74 -104.29 จุด (-0.65%) CAC 40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 7,219.48 -30.18 จุด (-0.42%)

ตลาดหุ้นเอเชีย (ราคาปิดวันทำการล่าสุด) ดัชนี Nikkei 225 ปิดที่ 28,478.56 -9.31 จุด (-0.03%) ดัชนี CSI 300 ปิดที่ 4,822.37 +4.14 จุด (+0.09%) ดัชนี Hang Seng ปิดที่ 23,493.38 +420.52 (+1.82%) และ SET Index ปิดที่ 1,657.62 +4.59 จุด (+0.28%)

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (เช้าวันที่ 10 ม.ค. 2565) ราคาทองคำ 1,791.25 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Silver ราคา 22.28 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบ WTI 78.97 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Brent 81.78 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

ราคา Cryptocurrency (เช้าวันที่ 10 ม.ค. 2565) Bitcoin 41,946.6 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ Ethereum 3,155.41 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และ Binance Coin 438.51 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ภาพรวมสินทรัพย์ทั่วโลกที่ปรับตัวบวกและลบสูงที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ 3 อันดับแรก กลุ่มที่ปรับตัวในทิศทางบวก – ราคาน้ำมัน (+4.9%), หุ้นสหราชอาณาจักร (+1.4%) และ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (+0.1%) ปรับตัวในทิศทางลบ – Global REITs (-2.5%), ดัชนี S&P500 (-2.5%) และหุ้นตลาดพัฒนาแล้ว (-1.9%)

ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวบวกและลบสูงที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ 3 อันดับแรก กลุ่มที่ปรับตัวในทิศทางบวก – เวียดนาม (+2.1%), ดัชนี FTSE100 สหราชอาณาจักร (+1.4%) และดัชนี NIFTY อินเดีย (+1.1%) ปรับตัวในทิศทางลบ – ดัชนี Nasdaq (-5.7%), ดัชนี S&P500 (-2.5%) และดัชนีจีน A-Shares (-2.4%)

ภาพรวม sector ใน S&P500 ที่ปรับตัวบวกสูงที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ 3 อันดับแรก – Energy (+7.3%), Financials (+4.1%) และ Industrials (+1.5%) ปรับตัวในทิศทางลบ – Information Technology (-5.6%), Consumer Discretionary (-5.2%) และ Real Estate (-4.0%)

 

ในสัปดาห์นี้จะเริ่มมีการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทในตลาดสหรัฐฯ บางบริษัท

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.76% ใกล้เคียงจุดสูงสุดปีที่แล้วในช่วงเดือนมีนาคม

CDC จีนประกาศพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 2 ราย ในเมืองเทียนจิน ซึ่งไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ แต่มีการเดินทางภายในประเทศ ทำให้มีการสั่งปูพรมตรวจประชาชน 14 ล้านคน

อินเดียเป็นอีกประเทศที่พบการเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ตัวเลขผู้ติดเชื้อวันเสาร์ สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว โดยสาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไป

ประเทศไซปรัสพบไวรัสสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างสายพันธ์เดลต้า และสายพันธุ์โอมิครอน เรียกชื่อเบื้องต้นว่า เดลต้าครอน จำนวน 25 ราย ขณะที่ข้อมูลต่างๆ ยังต้องติดตามเพิ่มเติมในอนาคต

การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือนธันวาคม ประกาศออกมาที่ 1.99 แสนราย ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 4.22 ราย อัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.9% ดีกว่าที่คาดการณ์ 4.1% ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง เพิ่มขึ้น 4.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

Samsung คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 เติบโต 52% มากที่สุดในรอบ 4 ปี แม้จะเจอปัญหาชิปเซทขาดแคลน โดย Samsung มีการเคลื่อนย้ายโรงงานผลิตชิปเซทไปที่สหรัฐฯ บางส่วนเพื่อบริการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงได้ผลดีจากค่าเงินวอนที่อ่อนค่าอีกปัจจัยหนึ่ง ขณะที่สถานการณ์ชิปเซทขาดแคลนยังลากยาว ระยะเวลาการรอคอยสินค้าอยู่ที่ 25.8 สัปดาห์

ราคา cryptocurrency ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน Bitcoin เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 4.1 หมื่นเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมือง Bitcoin คือการประท้วงที่คาซัคสถาน ที่ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

ศูนย์วิจัยคาดการณ์ราคาเนื้อหมูที่ระดับ 190 – 220 บาทต่อกิโลกรัม สูงที่สุดในรอบ 10 ปี รวมถึงเริ่มเห็นราคาเนื้อสัตว์อื่นๆ เริ่มเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อราคาอาหาร ปัจจัยที่ส่งผลกับราคาหมู มาจากทั้งฝั่งอุปสงค์ และฝั่งอุปทานซึ่งมาจากโรคระบาด โดยสถานการณ์อาจจะลากยาวต่อปีอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปี เงินเฟ้อของไทย (CPI) ในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 2.2%

Forward P/E ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 17 – 18 เท่า ขณะที่ EPS อยู่หุ้นประมาณ 90 บาทต่อหุ้น โดยระดับP/E ถือว่าค่อนข้างสูงกว่าหุ้นโลกโดยรวม ในสัปดาห์ที่แล้วนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 8 พันล้านบาท ขณะที่บาทยังมีทิศทางอ่อนค่า

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อในรายใหม่ไทยอยู่ที่ 7,926 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 13 ราย หายป่วยกลับบ้าน 3,612 ราย