ราคาน้ำมันพุ่งต่อเนื่อง หลัง EU ได้ข้อตกลงร่วมกัน โดยจะหยุดนำเข้าน้ำมัน 90% จากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีหลายชาติคัดค้าน
เช้านี้ (31 พ.ค.) ราคาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมากกว่า 2% อยู่ที่ $117.74 ขณะที่ราคาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 0.62% อยู่ที่ $122.43
ก่อนหน้านี้การเจรจาส่อแววไม่สำเร็จ เพราะ ‘ฮังการี’ ผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่และพันธมิตรของปูติน รวมถึงหลายชาติคัดค้านอย่างหนัก
ฮังการีส่งสัญญาณสนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรปแค่บางส่วน อย่างการแบนน้ำมันรัสเซียเฉพาะที่นำเข้าโดยเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อให้รัสเซียไม่มีทางออกสู่ทะเล เพื่อให้ทั้งฮังการี สโลวาเกีย และสาธารณรัฐเช็ก ยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันรัสเซียผ่านทางท่อส่งจนกว่าจะหาทางเลือกอื่นได้
บรรดาผู้นำถูกคาดหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันการประชุมในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อแสดงถึงความสามัคคีในการตอบโต้การกระทำของรัสเซีย เพราะความล้มเหลวในการตกลงใดๆ ของ EU น่าจะแสดงถึงชัยชนะของปูติน
สหภาพยุโรปนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียคิดเป็น 36% ของการนำเข้าทั้งหมด โดยรัสเซียเป็นทั้ง ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงผู้ผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่
การเจรจากำหนดมาตรการแบนน้ำมันจากรัสเซียเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือน ก่อนหน้านี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนล่าสุดชาติยุโรปตกลงร่วมกันในการแบนนำเข้าน้ำมัน 90% จากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้
ช่วงต้นเดือน (4 พ.ค.) Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเคยกล่าวว่า การแบนน้ำมันจากรัสเซียไม่ง่าย เพราะบางประเทศสมาชิกพึ่งพาน้ำมันรัสเซียในปริมาณมาก แต่เราต้องทำมันให้ได้
รายได้จากน้ำมันเป็นส่วนสำคัญในการทำสงครามของรัสเซีย โดยการวิเคราะห์จากกลุ่มรณรงค์คมนาคมขนส่งและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ในทุกวัน เงินสนับสนุนกำลังทหารของรัสเซียมาจากรายได้น้ำมันถึง 285 ล้านดอลลาร์
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/2022/05/31/oil-prices-eu-russian-crude.html
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel