จังหวะตกหลุมรัก “ตราสารหนี้สหรัฐฯ”

ตอนนี้เป็นจังหวะที่ “ตราสารหนี้สหรัฐฯ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ กำลังให้ผลตอบแทนสูง จนเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนแบบ “Low Risk High Return” ที่น่าตกหลุมรักกว่าการลงทุนประเภทอื่น …ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น

ธนาคารทิสโก้ ได้ให้มุมมองถึงสาเหตุ ที่ทำให้ตราสารหนี้สหรัฐฯ มีเสน่ห์น่าลงทุนมากในตอนนี้ ไว้ 3 ข้อ นั่นก็คือ 

1. ผลตอบแทน ตราสารหนี้สหรัฐฯราสารหนี้ไทย

เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมาเร็วสุดในรอบกว่า 40 ปีจนอยู่ในระดับที่ “สูงกว่า 5%ทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงต่ำในสหรัฐฯ เช่น ตั๋วเงินคลั พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดี กลับมาอยู่ในระดับที่สูงอีกครั้งในรอบกว่า 20 ปี สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น 

ดังนั้น หากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยซึ่งอยู่ที่เพียงแค่ 2.25% แล้ว ผลตอบแทนของบรรดาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำในไทยจึงต่ำกว่าฝั่งสหรัฐฯ อย่างชัดเจน

อ้างอิงจากตัวเลขผลตอบแทน (Yield) ของตราสารหนี้สหรัฐฯในปัจจุบัน ทั้งตราสารตลาดเงิน (Money Market Instruments) ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงถึง 5.25% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (US 10 year Treasury Bond) ที่ให้ผลตอบแทน 4.10-4.20% 

ขณะที่ในฝั่งของไทย จะเห็นได้ว่ ตราสารตลาดเงินและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนแค่ 2.00% – 2.65% สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ มีโอกาสได้รับ Yield ที่สูงกว่าตราสารหนี้ของไทย

2. ตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าสนใจกว่า หุ้นสหรัฐฯ

นับตั้งแต่ต้นปี 2023 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นถึ 18% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่จากกระแสของ AI (Artificial Intelligence) รวมถึงความคาดหวังว่า Fed จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในปีนี้ ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นมาซื้อขายที่ระดับ PE ที่สูงถึง 21.7 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงฟองสบู่ Dot-com ปี 2000 และช่วง Pre-COVID ปี 2019 

ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น ซึ่งสะท้อนผ่านค่า Earnings yield อยู่ในระดับเพียงแค่ราว 4.6% เท่านั้น หากนำตัวเลขดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับ ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ อายุ 3 เดือน (3 month Treasury Bill) ที่มักถูกใช้เป็นตัวแทนของการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.4% แล้ว

จะเห็นได้ว่า การลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่วิกฤต Dot-com ปี 2000 โดยที่นักลงทุนไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย

3. ตราสารหนี้สหรัฐฯ มักทำกำไรดีแม้เศรษฐกิจถดถอย

ในอดีตตราสารหนี้สหรัฐฯ มักจะสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในช่วงที่เกิด Recession ได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตช่วงวิกฤต Dotcom ปี 2000 วิกฤต Subprime ปี 2008 และวิกฤต COVID-19 ปี 2020 ที่การลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทน 6.5% 7.5% และ 3% ตามลำดับ 

ดังนั้น หากในอนาคตสหรัฐฯ เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนกดดันให้ Fed ต้องกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง เราคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ก็น่าจะมีทิศทางที่สอดคล้องกับสถิติในอดีต 

ตอนนี้จึงเป็นจังหวะเวลาในการลงทุนแบบ “Low Risk High Return” ซึ่งมักเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในรอบกว่าทศวรรษที่นักลงทุนต้องไม่พลาด   

TISCO Advisory

ที่มาบทความ: https://link.tisco.co.th/2Ysc9z

iran-israel-war