จุดซื้อ จุดขาย

เคยบ้างมั๊ย ตอนที่คุณเข้าซื้อหุ้นที่คุณมั่นใจว่ามีโอกาสได้กำไรแน่ๆอย่างน้อย 10-20% แต่คุณดัน “ขายหมู” ไปตั้งแต่กำไรได้ 1-3% แล้วหุ้นตัวนั้นก็วิ่งทะลุบวก 10-20% ได้จริงๆ!!

เคยบ้างมั๊ย เวลาที่หุ้นที่คุณซื้อ ได้ทะยานขึ้นไป 5% แล้วคุณไม่ขาย เพราะคุณโลภ แต่พอมันร่วงดิ่งลงมาจนขาดทุนย่อยยับ คุณกลับขายมันซะอย่างงั้น!?

และเคยบ้างมั๊ยครับ ที่คุณซื้อหุ้นโดยที่คุณไม่รู้เลยว่าราคาขายทำกำไรที่เหมาะสมนั้นคือราคาใด!?
และอีกหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้คุณต้องนั่งเซ็งเป็ด เซ็งจิต และเซ็งกับสิ่งที่คุณได้พลาดไป

เชื่อแน่ครับว่านักลงทุนทุกคน ต้องเคยประสบพบกับเหตุการณ์เช่นนี้กันถ้วนหน้า ผมเองก็เป็นอยู่บ่อยครั้ง (ตอนนี้พยายามแก้ไขอยู่ หุหุ)

ถามว่า..แล้วต้องทำอย่างไร เราถึงจะไม่ “ขายหมู” หรือ “ขาดทุนอ่วม” จากการเข้าซื้อหุ้นในแต่ละครั้ง?

ง่ายๆเลยครับ!! นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ย่อมต้องมี “ยุทธศาสตร์การขาย” ที่ดี (อันนี้ไม่ใช่กลยุทธ์ทางการตลาดน่ะครับ) แต่มันคือ “หลักเกณฑ์การขายหุ้น” ของนักลงทุนครับ

แล้ว…หลักเกณฑ์การขายหุ้นที่ดีนั้นเป็นอย่างไร? มันจำเป็นต้องมีสูตรหรือหลักการที่ตายตัวหรือไม่?

คำตอบคือ..ไม่ครับ!! เกณฑ์การขายหุ้นที่ดีนั้น ควรจะปรับให้เข้ากับลักษณะนิสัยของนักลงทุนหรือเทรดเดอร์จะดีที่สุดครับ

เช่น สุดยอดนักลงทุนของโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้นได้เชื่อว่าเป็นนักลงทุนที่แทบจะไม่ขายหุ้นที่มีเลย แต่ก็มียกเว้นกับบางกรณีที่หุ้นที่เค้ามีอยู่นั้น ไปตรงตามเกณฑ์การขายของเค้า เช่นหุ้นของบริษัท Disney เจ้าของ Disney Land และ Walt Disney อันระบือโลกนั่นเอง

หรือแม้กระทั่ง จอร์จ โซรอส เจ้าพ่อเทรดเดอร์ทุกสถาบัน ที่ไม่ลังเลที่จะขายทิ้งพอร์ทลงทุนของเค้าทั้งหมดในตลาด S&P 500 futures ระหว่างวิกฤติเศรษฐกิจปี 1987 ถึงแม้จะต้องขาดทุนพอสมควร แต่เค้าก็ไม่ลังเลใจที่จะขายทิ้งทั้งหมด เนื่องจากเค้ารู้ว่า สิ่งที่เค้าได้ลงทุนไปนั้น อยู่ผิดทางและตรงกับเกณฑ์การขายที่เค้าได้ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรก

ทีนี้เรามาดูหลักเกณฑ์ในการขายหุ้นง่ายๆของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ 6 วิธีกันครับ

  1. เมื่อหุ้นที่ถือดันแหกกฎที่คุณวางไว้ เช่นเดียวกับกรณีที่ จอร์จ โซรอซ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ทำการขายหุ้นอย่างไม่ลังเล เมื่อหุ้นที่มีดันไปโดนเกณฑ์การขายเข้า
  2. เมื่อเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่คุณคิดไว้ กรณีนี้อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น เกิดข่าวลือรุนแรง แรงขายกระหน่ำจนผิดสังเกตุ อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องโกยเถอะโยมครับ แต่ถ้าจะให้ดี ยังไงก็ควรจะขายได้ในช่วงแรกๆน่ะครับ ไม่ใช่ไปขายตอนตลาดร่วงไป 7-8% แล้วเพิ่งมาขาย ไม่ดีๆ
  3. เมื่อได้ราคาตามเป้าหมายที่วางไว้ อันนี้เข้าใจง่ายที่สุดแล้วครับ ไม่ว่าคุณจะวางเป้าหมายกำไรไว้ที่เท่าไหร่ก็ตาม เมื่อถึงเป้าหมาย คุณขาย!! แค่นี้แหล่ะครับ ไม่ใช่โลภถือต่อไปเพราะเห็นว่าจะได้กำไรอีก (บางกรณีอาจจะได้ครับ) ยังไงซะก็ให้คิดเสมอว่า กำไรคือกำไร ถ้าได้ทำตามเป้าหมายแล้ว นั้นแหล่ะคือสุดยอดของนักลงทุนแล้วครับ
  4. เมื่อระบบการเทรดส่งสัญญาณขาย อันนี้แนะนำอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่เชื่อมั่นใน Technical Analysis หรือกราฟเทคนิค กราพช่างกล กราฟเทคโนทั้งหลายนั้นแหล่ะครับ เมื่อเกิดสัญญาณขายขึ้น ไม่ว่าตอนนั้นหุ้นจะดีเพียงใด จะไปต่อหรือไม่ ถ้าเครื่องมือส่งสัญญาณขาย คุณก็ต้องขาย!!
  5. เมื่อราคาหุ้นมาแตะจุดขาดทุนที่คุณจะรับได้ (จุด Cut Loss) อันนี้ก็เป็นวินัยในการ Cut Loss หรือการตัดเนื้อร้ายนั้นเองครับ เช่นคุณวางจุด Stop Loss ไว้ที่ 10% จากราคาซื้อขาย ถ้าหุ้นร่วงมาแตะ10% เมื่อไหร่ คุณก็ต้องทำตามวินัย ก็คือการขายตัดเนื้อร้ายทิ้งทันที อยากให้รู้ว่าการที่มีจุด Stop Loss ทุกครั้งนั้น จะทำให้เราการันตีได้ว่า การลงทุนในแต่ละครั้ง เราจะขาดทุนไม่เกินจำนวนเปอร์เซนต์ที่วางไว้ มันก็เท่ากับปิดประตูแพ้ครับ ที่เหลือก็ค่อยไปดูความสามารถในการทำกำไรหรือการ Let Profit Runs นั้นเอง
  6. เมื่อนักลงทุนรู้ตัวว่ากำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง หรือเรียกว่า “รู้ตัวว่าผิด” นั้นเองครับ ข้อนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์พอสมควรครับ อาจจะเกิดโดย “สัญชาตญาณ” หรือ “สิ่งที่เคยพบเจอในอดีต” จึงทำให้นักลงทุนเหล่านี้ รู้ว่าต้องขายทำกำไรหรือขายทิ้งเอาตัวรอดครับ

หากนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าทำได้ตามเกณฑ์ที่ตนเองได้วางไว้อย่างเคร่งครัดแล้วหล่ะก็ คุณย่อมจะประสบความสำเร็จในเส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดทางการเงินใดๆก็ตามอย่างแน่นอนครับ

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ เทรดเดอร์ที่ประสบความล้มเหลว
ถือหุ้นไปเรื่อยๆ จะขายทำกำไร
เมื่อถึงเกณฑ์การขายที่ตั้งไว้
จึงมักจะทำกำไร “รอบใหญ่” ได้อยู่เรื่อยๆ
ไม่มีเกณฑ์การขายเป็นของตัวเอง กังวลว่ากำไรที่ได้เล็กๆน้อยๆ จะกลายเป็นขาดทุน จึงมักจะ “ขายหมู” อยู่ร่ำไป

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหน ไม่ใช่อยู่ที่การ “ซื้อ” ครับ แต่เป็นการ “ขาย” ต่างหากที่ยากยิ่งนัก แต่มันจะง่ายทันทีถ้านักลงทุนวางกฏเกณฑ์ในการขายหุ้นอย่างเป็นระบบ อย่างถูกวิธีและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดครับ

Wizard Kid