เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

เชื่อว่านักลงทุนหลาย ๆ ท่านน่าจะชื่นชอบการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี เพราะมีโอกาสเติบโตสูง แต่สิ่งที่มาพร้อมกับผลตอบแทนที่สูงของหุ้นรายตัวก็คือความเสี่ยงที่ว่าบริษัทเหล่านั้นอาจจะขาดทุนและไม่ได้เติบโตไปเป็นยักษ์ใหญ่เหมือน Microsoft หรือ Apple 

หากต้องการกระจายความเสี่ยงจากหุ้นรายตัว นอกจากกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศแล้ว อีกสิ่งที่ตอบโจทย์ไม่แพ้กันคือ ETF ซึ่งวันนี้เราขอหยิบยก 7 กองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคฯ มาฝากกัน มาดูกันว่าแต่ละกองทุนลงทุนในเทคโนโลยีอะไรบ้าง?

**ข้อมูลตัวเลข ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2563 จาก etfdb.com**

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

1) First Trust Cloud Computing ETF (SKYY)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: Cloud Computing

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.60%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $3.1 พันล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: ISE Cloud Computing Index

ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน จะบ้านหรือออฟฟิศ เราก็สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้น ๆ ได้ หากเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเสียอย่าง นี่ละคือข้อดีของ Cloud Computing เพราะเราไม่ต้องพกฮาร์ดดิสต์ไปไหนต่อไหนแล้ว แค่บันทึกข้อมูลไว้บนระบบ Cloud เท่านั้น กองทุน SKYY ได้ทำการรวบรวมบริษัทที่มีบริการนี้ เช่น Amazon, Microsoft, Oracle เรียบร้อยแล้ว หากเทรนด์ Work From Home ในอนาคตมาแรงจริง ธุรกิจ Cloud Computing ก็น่าจะได้ผลประโยชน์สูง

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

2) ALPS Clean Energy ETF (ACES)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: พลังงานสะอาด

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.65%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $160.8 ล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: CIBC Atlas Clean Energy Index

สายรักโลกมาทางนี้เลย หลาย ๆ ธุรกิจก็เริ่มปรับตัวตามด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และประเทศอย่างสหรัฐฯ ล่าสุดก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างไฟฟ้ามากกว่าพลังงานจากถ่านหินที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้แถมยังปล่อยมลภาวะ โดยล่าสุดในช่วง COVID-19 นั้นพลังงานหมุนเวียนได้เอาชนะถ่านหินติดต่อกัน 40 วันติด และในปี 2021 ก็มีแนวโน้มว่าจะสามารถแซงถ่านหินได้ทั้งปี นั่นเพราะการใช้ถ่านหินมีค่าใช้จ่ายแพงกว่า จึงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ถูกตัดออกในภาวะอุปสงค์หดตัว กองทุน ACES มีลงทุนในบริษัทอย่างเช่น Tesla ซึ่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, First Solar ซึ่งผลิตแผงโซลาร์เซลส์, Cree ซึ่งผลิตหลอดไฟประหยัดพลังงานอย่าง LED โดยรวมแล้วเป็นกองทุนที่ลงทุนในเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เราใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล (Fossil Fuel) ให้น้อยลง

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF (KARS)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: รถยนต์ไฟฟ้า / ระบบการเคลื่อนที่

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.70%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $17.5 ล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: Solactive Electric Vehicles and Future Mobility Index

ตามมาติด ๆ จากธีมพลังงานสะอาด คือธีมรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการแชร์รถและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เอง ภาพรวมของ ETF กองนี้จึงเป็นเทคโนโลยีที่ข้องเกี่ยวกับการเดินทางในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก ข้อมูลจาก KraneShares ระบุว่ามูลค่าการลงทุนในตลาดยานยนต์ที่ใช้ไฟฟ้านั้นคาดว่าจะแตะ $2.7 ล้านล้านในปี 2040 นอกจากนั้นก็ยังคาดการณ์ว่า 55% ของยอดขายรถคันใหม่และ 33% ของรถยนต์ทั่วโลกจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แน่นอนว่าหากพูดถึงเทคโนโลยีนี้คงหนีไม่พ้นชื่อ Tesla แน่นอน ซึ่งเป็นบริษัทที่ ETF กองนี้ลงทุนด้วยเช่นกัน แต่นอกจาก Tesla ก็ยังมีบริษัทอื่น ๆ อีกเช่น Nvidia บริษัทผลิตชิปที่มีส่วนสร้างคอมพิวเตอร์ไว้ใช้สำหรับระบบ AI ในยานยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เอง

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://kraneshares.com/kars/

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

4) ROBO Global Robotics & Automation Index ETF (ROBO)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: หุ่นยนต์ / ระบบอัตโนมัติ

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.95%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $1 พันล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: Robo-Stox Global Robotics and Automation Index

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังจะมาแรงในโลกแห่งอนาคตคือระบบอัตโนมัติหรือการใช้หุ่นยนต์มาช่วยทำงานซับซ้อน ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ ที่เริ่มเห็นกันแล้วก็คือในโรงงานและโรงพยาบาล นอกจากหุ่นยนต์จะมีความแม่นยำมากกว่าแล้ว ในระยะยาวยังมีต้นทุนน้อยกว่าการจ้างงานมนุษย์ด้วย โดยบริษัทที่ ROBO ลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรกก็คือ SMC บริษัทญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญด้านระบบอัตโนมัติสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยใช้แรงลมเป็นปัจจัยควบคุมหลัก, iRobot บริษัทอเมริกันที่ผลิตหุ่นยนต์สำหรับใช้ทำงานบ้าน และ Cognex บริษัทอเมริกันที่ผลิตกล้องและเซ็นเซอร์ช่วยตรวจสอบชิ้นงานที่ได้รับการผลิตในภาคอุตสาหกรรม

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://roboglobaletfs.com/robo

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

5) ETFMG Video Game Tech ETF (GAMR)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: วิดีโอเกม

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.75%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $81.2 ล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: EEFund Video Game Tech Index

ใครที่คิดว่าวิดีโอเกมเป็นเรื่องของเด็ก ๆ อยากให้คิดใหม่ ข้อมูลจาก Entertainment Software Association เผยว่าในปี 2019 โดยเฉลี่ยแล้วเหล่าเกมเมอร์มีอายุอยู่ที่ 32-34 ปี และ 75% ของครัวเรือนอเมริกันนั้นมีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนที่เป็นเกมเมอร์ ในปี 2018 มูลค่าตลาดเกมนั้นอยู่ที่ $1.3 แสนล้าน ซึ่งถือว่าใหญ่โตมาก หากใครสนใจรับโอกาสจากธุรกิจวิดีโอเกม ลองศึกษากองทุน GAMR ดูได้ ตัวอย่างบริษัทที่น่าจะคุ้นหูเกมเมอร์เป็นอย่างดีก็เช่น Activision Blizzard เจ้าของเกม Call of Duty, Capcom เจ้าของเกม Resident Evil และ Street Fighter ส่วนบริษัทที่ติดท็อป ๆ ในพอร์ตการลงทุนก็มี Bilibili เว็บไซต์จีนที่แชร์วิดีโอเกี่ยวกับอนิเมชั่น เกมและการ์ตูน, Embracer Group บริษัท Holding Company ด้านวิดีโอเกมโดยเฉพาะจากสวีเดน และ Glu Mobile บริษัทเกมมือถือ 3D จากอเมริกา

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://etfmg.com/funds/gamr/

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

6) Defiance Next Gen Connectivity ETF (FIVG)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: ระบบ 5G

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.30%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $267.7 ล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: BlueStar 5G Communications Index

อีกเทรนด์ที่มาแรงมาก ๆ ในยุคอินเตอร์เน็ตครองมือคือเทคโนโลยี 5G ที่ช่วยอัปเกรดให้การเชื่อมต่อข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนสามารถสตรีมหนัง เพลง เล่นเกมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเอื้ออำนวยให้เกิดประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น VR/AR, Sharing Economy, Internet of Things สำหรับกองทุน FIVG ลงทุนในบริษัทเครือข่ายใหญ่ ๆ รวมถึงบริษัทที่ทำเทคโนโลยีเหล่านี้ ตัวอย่างที่เราคุ้นหูกันก็เช่น Nokia บริษัทมือถือจากฟินแลนด์, Qualcomm บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, Verizon ผู้ให้บริการสัญญาณเครือข่ายมือถือเจ้าใหญ่ของอเมริกา

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.defianceetfs.com/FIVG

เปิดโพย 7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต

7) Amplify Online Retail ETF (IBUY)

กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: E-Commerce

ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.65%

มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $299 ล้าน

ดัชนีที่ลงทุนตาม: EQM Online Retail Index

เทรนด์ E-Commerce หรือการซื้อขายของผ่านอินเตอร์เน็ตก็มาแรง ยอดขาย E-Commerce ทั่วโลกเติบโตมาเรื่อย ๆ โดยในปี 2019 มีมูลค่าอยู่ที่ $3.53 ล้านล้าน และต่อจากนี้ก็เป็นไปได้ว่าคนจะเริ่มนิยมสั่งของออนไลน์กันมากขึ้นหลังเกิดโควิด-19 กองทุน IBUY ลงทุนในบริษัทที่ต้องมียอดขายอย่างน้อย 70% มาจากออนไลน์ ตัวอย่างบริษัทที่ไปลงทุนก็เป็นชื่อที่เราคุ้นหูกันอย่างเช่น Amazon, eBAY, Shopify นอกจากนี้ยังมีบริษัทสั่งอาหารออนไลน์อย่าง GrubHub และเว็บท่องเที่ยวอย่าง Expedia ด้วย

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://amplifyetfs.com/ibuy

ก็จบกันไปแล้วกับโพยกองทุน ETF เทคโนโลยีต่างประเทศที่เรานำมาฝากกัน หากใครสนใจลงทุนใน ETF ต่างประเทศ มีหลาย ๆ โบรกเกอร์ในไทยที่ให้บริการนี้ และถ้าหากในอนาคต FINNOMENA เปิดให้ลงทุนใน ETF ทางทีมงานจะแจ้งให้ท่านทราบ โดยสามารถลงชื่อรับข่าวสารได้ที่ https://www.finnomena.com/etf-guidebook เลย 🙂

เพื่อนผู้ใจดี

ข้อมูลอ้างอิง
https://etfdb.com/

https://money.usnews.com/investing/funds/slideshows/smart-tech-etfs-for-the-next-generation
https://www.cbsnews.com/news/coronavirus-lockdowns-renewable-energy-overtakes-coal-record-40-days/
https://www.theesa.com/esa-research/2019-essential-facts-about-the-computer-and-video-game-industry/
https://www.statista.com/statistics/379046/worldwide-retail-e-commerce-sales/


คำเตือน

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน