Carl-Icahn-AIG

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา Carl Icahn ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกแสดงความเห็น ส่งไปให้ CEO ของ AIG อ่าน (หากเราจำกันได้ประกัน AIG เกือบล้มตอนวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล และ Icahn เข้าไปถือหุ้นอยู่ค่อนข้างเยอะพอสมควร)

เนื้อความในจดหมายค่อนข้างน่าสนใจแสดงถึงมุมมองของนักลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นและหวังดีต่อบริษัท (ออกไปทางสอนมวยนิดๆ)

Carl Icahn เป็นนักลงทุนสาย Activist ใช้ประโยชน์จากสื่อในการกดดันและสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงการบริหารต่อบริษัทที่ตัวเองเข้าถือหุ้น กลยุทธ์การลงทุนของเขาเช่นนี้ ถือเป็นต้นแบบให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯอีกหลายๆคน  Icahn Enterprises LP ซึ่งก่อตั้งโดย Icahn สามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 1,485% หรือคิดเป็นปีละ 19.7% เป็นเวลาถึง 15 ปี มากกว่า Berkshire Hathaway ของ Buffett ซึ่งทำได้ 9.1% ต่อปี ในระยะเวลาเดียวกัน ถือเป็น Hedge Fund Manager ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้

มีใจความใน จม. เป็นอย่างไร อ่านได้ตามนี้

ถึงคุณปีเตอร์ แฮนคอก, CEO of AIG

จากประสบการณ์ของผมกับบรรดาบริษัทจดทะเบียนหลายๆบริษัท ข้อมูลต่างๆที่ปรากฎออกมานั้นหาข้อสรุปได้ยากเมื่อมองจากจุดที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทยืนอยู่ และพยายามร่วมกันแสดงความต้องการเรียกร้องผลประโยชน์ที่ควรจะได้ เราเชื่อว่าแรงกดดันจากภายนอก เป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งปัญหาที่ AIG กำลังประสบอยู่ขณะนี้ บริษัทยังคงมีผลประกอบการแพ้คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง และไม่รวมถึงภาระทางข้อกฎหมายที่จะยิ่งฉุดให้ศักยภาพการแข่งขันของบริษัทมีโอกาสแย่ลงไปอีก

จากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา คุณไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่เร่งด่วนอะไร แต่เลือกที่จะรอเป็นระยะเวลาหลายต่อหลายปี ขาดการตัดสินใจอย่างผู้นำ เป็นผลทำให้ราคา AIG ซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอย่างมาก ทั้งๆที่การตัดสินใจแยกบริษัทออกจากกัน จะสามารถส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในมุมของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถทำได้อย่างง่ายดายแบบ แทบไม่ต้องคิด

ผู้บริหาร AIG ควรดำเนินการดังนี้

·       พยายามหาทางแยก บริษัทย่อยออกมาเสีย ประกันชีวิต และประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ออกจากกัน เพื่อสร้าง 3 องค์กรที่แยกเป็นอิสระจากกัน ซึ่งจะเล็กพอที่จะลดหรือเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากข้อบังคับของสถาบันการเงินได้

·       ดำเนินโครงการควบคุมต้นทุนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการลดช่องว่างทางการแข่งขัน

เรามองว่าไม่ควรจะปล่อยให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว คุณต้องทำเดี๋ยวนี้!! เหมือนกันกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่อื่นๆที่ไม่พอใจการบริหารจัดการที่ไม่ชัดเจนจากการแยกบริษัทครั้งนี้ ผมไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงไม่สนใจคำเรียกร้องของผู้ถือหุ้นที่ต้องการให้ดำเนินแผนการดังกล่าว ทั้งที่มันจะช่วยทำให้บริษัทมีเงินทุนมากขึ้นหลายพันล้านเหรียญ เป็นอิสระจากข้อขัดแย้งทางกฎหมาย และให้ผู้ถือหุ้นสามารถแยกลงทุนในสามองค์การที่ต่างเป็นผู้นำของตลาดตัวแทนประกัน

John Paulson เคยให้ความเห็นว่า “สถานการณ์ของ AIG ได้ล่วงเลยช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการแยกบริษัทมานานแล้ว ซึ่งการแยกองค์กรเป็นอิสระจะช่วยให้บริษัท ลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ไม่จำเป็นได้ และสามารถมีผลประกอบการกลับไปสู่ระดับโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ประกอบกับทำการซื้อหุ้นคืนบางส่วน ซึ่งมองว่า AIG จะสามารถซื้อขายกันในราคาสูงถึง 100 เหรียญต่อหุ้นได้ (Upside ราวๆ 66% จากราคาปัจจุบันที่ 60 เหรียญ)”

Too Big to Succeed

เจเน็ท เยลเลน กล่าวว่า “เราเริ่มจะเห็นการถกเถียงกันเรื่องขนาดของบริษัทที่ใหญ่เกินไป มันทำให้บริษัทต้องคิดหนักว่า ควรแตกบริษัทออกเป็นองค์กรเล็กๆ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวหรือไม่ และนั่นก็เป็นอะไรที่เราอยากเห็นมากขึ้น” แม้ว่าจะมีการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไปแล้ว แต่ AIG ก็ยังใหญ่โตเกินไป การผสมกันระหว่างประกันหลายรูปแบบทำให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์น้อยลง และนั่นทำให้คู่แข่งรายอื่นหันไปเน้นทำเป็นรายธุรกิจมากขึ้น เราเชื่อว่า คุณต้องรู้เช่นกันว่า การทำแบบผสมผสานไม่ทำให้เกิดผลตอบแทนที่ดีเท่าไหร่ การแยกสายธุรกิจออกจากกันทำให้บริษัทสามารถที่จะเน้นให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อผลตอบกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะได้รับการประเมินมูลค่าตลาดของบริษัทที่สูงขึ้นได้

ด้วยขนาดที่ใหญ่ คณะผู้ดูแลความมั่นคงทางการเงิน (FSOC) ได้มองว่า AIG เป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่แบงค์ ซึ่งต้องอยู่ในการควบคุมและอยู่ภายใต้เรดาร์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในแง่ของข้อกำหนดด้านเงินทุน ซึ่งเราเชื่อว่า คุณทราบเกี่ยวกับการยกระดับกฎข้อบังคับเกี่ยวกับภาษี ซึ่งมีแนวโน้มจะเก็บบนขนาดของบริษัท คณะกรรมการค่อนข้างมีความเห็นชัดเจนว่า ทางออกที่ดีที่สุดของบริษัทใหญ่กลุ่มนี้ คือต้องลดขนาดขององค์กรลง ถ้าไม่ AIG จะได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎข้อนี้ แน่นอน “การลดขนาดของบริษัทจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสแสวงหาวิธีการบริหารธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงที่บริษัทขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้”

เราเชื่อว่าคุณสามารถทำได้ทันที แบบรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเสียด้วย ด้วยการแยกส่วนของประกันชีวิตและประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกจากกลุ่มธุรกิจประกันหลัก เราเชื่อว่าทั้ง 3 องค์กรจะมีขนาดเล็กพอที่จะหลุดรอดจากกฎเกณฑ์เรื่องเงินทุนสำรองที่เกี่ยวข้อง คุณรู้เป็นอย่างดีว่า ความสามารถด้านธุรกิจประกันของ AIG จะดูมีมูลค่าต่อผู้ถือหุ้นมากกว่าเดิม ถ้าถือบริษัทโดยตรง และ ไม่ผ่านกลุ่มโครงสร้างบริษัทในเครือ

Competitive Cost Structure

ROE ของ AIG ต่ำกว่าคู่แข่งไม่ใช่เรื่องขนาด หรือข้อจำกัดด้านเงินทุน แต่เป็นเพราะขาดการควบคุมต้นทุน คุณทราบดีว่า ผลตอบแทนของบริษัทต่ำกว่าคู่แข่งและจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา แม้แต่ในแผนระยะยาว ROE เป้าหมายยังอยู่ที่แค่ระดับ 10% ซึ่งก็ยังต่ำกว่าคู่แข่ง ในขณะเดียวกันคุณยังมองว่า ผลกำไรจะไม่โตสูงไปกว่า 0.5% ต่อปี และยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งทศวรรษในการบรรลุเป้าหมาย สิ่งหนึ่งที่พวกเราเห็นตรงกันคือ AIG ไม่สามารถสู้คู่แข่งได้ คุณคิดจริงๆ หรือว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่? คุณต้องมีกลยุทธ์ที่ทุ่มเทและให้สัญญว่าจะต้องทำให้ ROE กลับไปเท่าเทียมกับอุตสาหกรรมให้ได้ หากคุณไม่คิดว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสม รบกวนอธิบายสักนิด ว่า “ทำไม ด้วยวิธีการทั้งการปรับโครงสร้างบริษัท พร้อมกับทยอยซื้อหุ้นบริษัทคืน จะเป็นเพียงหนทางที่เป็นไปได้ที่สุดทางเดียวที่จะทำให้บริษัทฟื้นตัวได้ มากกว่าแผนการใดๆทั้งหมด?”

AIG รอมานานเกินไปแล้ว และหวังว่าทางคุณจะมองข้อสรุปของสถานการณ์ออกมาทางเดียวกัน เวลาเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เราหวังว่าจะมีโอกาสได้พบกับทีมผู้บริหาร คณะกรรมการและผู้ถือหุ้น เพื่อพูดคุยและสอบถามต่อไป

 

Carl Icahn

 

FINNOMENA OPINION

การลงทุนในมุมมองของนักลงทุนบางคน มันคือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทนั้นๆ จริงๆ นอกจากเขาหล่านั้นจะเข้าใจธุรกิจแบบลึกซึ้งแล้ว (เผลอๆจะมากกว่า ผู้บริหารเองด้วยซ้ำ) ยังมีมุมมองที่เป็นประโยชน์และอาจต่างไปจากบริษัทอย่างสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนจะพิจารณาหุ้นในกลุ่มตัวอื่นๆ เพื่อการเปรียบเทียบและสามารถมองเห็นการแก้ปัญหาคล้ายๆ กันของบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นอิสระมากกว่า แน่นอนว่าการขายหุ้นทิ้งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งหากเราไม่ชอบใจบริษัท แต่การเตือนเบาๆ ก็อาจเป็นทางออกที่ส่งผลดีได้เช่นกัน (แต่ครั้งนี้ Carl Icahn ถือว่าเตือนแรงเลยนะ)