หรือตลาดเครื่องสำอางจะใหญ่กว่าที่คิด?

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเครื่องสำอางกลายเป็นของใช้จำเป็นสำหรับหลายๆคนโดยเฉพาะคนยุค Millennial ที่ปัจจุบันจะมีอายุตั้งแต่ 17-37ปี

วันนี้เราเริ่มเห็นเด็กมัธยมใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้น สุภาพสตรีหรือแม้กระทั่งสุภาพบุรุษก็หันมาใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้น จนกลายเป็น Beauty Trend ที่คนแทบทุกคนต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง

ที่สำคัญคือ Beauty Trend กลายเป็น ธีมการลงทุนของนักลงทุนหุ้นหลายคนไปแล้วด้วย  

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราได้เห็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยหลายบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องสำอางตั้งแต่เริ่ม และ บริษัทที่เปลี่ยน Business Model จากการทำธุรกิจอื่นมาทำธุรกิจเครื่องสำอาง กลายเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจากการเติบโตของราคา กำไรและการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท หลายบริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหลายหมื่นล้านบาทเลยเช่นกัน

แต่เมื่อพูดถึงตลาดเครื่องสำอางของโลกแล้ว ตลาดจะใหญ่กว่าของไทยอีกหลายเท่าตัว และมีบริษัทหลายบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยซึ่งมี รายได้ กำไร และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่าบริษัทไทยเป็นร้อยเท่าตัวที่เป็น Key Player ในตลาด

ในปี 2015 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอุปสงค์ของเครื่องสำอางเยอะที่สุดในโลกโดยคิดเป็น 36% ของอุปสงค์โลก รองลงมาคือ ยุโรปตะวันตกที่ 21% โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อุปสงค์หลักมาจากประเทศจีนและญี่ปุ่น

Highlight:

ตลาดเครื่องสำอางจีนมูลค่ามหาศาล โดยตลาดเครื่องสำอางจีนถูกขับเคลื่อนด้วย 5 ปัจจัยหลักดังนี้

1) จำนวนประชากร

ตลาดที่มีอัตราการเติบโตเร็วมากและใหญ่มากคือประเทศจีนที่มีประชากรยุค Millennial กว่า 400ล้านคนซึ่งเป็นสุภาพสตรีถึง 200ล้านคน ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทย เฉพาะคนยุค Millenial ในจีนมีจำนวนประชากรเยอะกว่าประชากรทั้งประเทศของไทยเกือบ 6 เท่าตัว

2) ชาวจีนยังซื้อเครื่องสำอางน้อยมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น

ประเทศจีนยังมีโอกาศโตอีกสูงมากเนื่องจากข้อมูลจาก Euromonitor บอกว่าหญิงชาวจีนอายุมากกว่า 15ปี ใช้จ่ายซื้อเครื่องสำอางเพียง 1,400บาทต่อปีเท่านั้น เปรียบเทียบกับหญิงชาวญี่ปุ่นที่ใช้เกือบ 13,000บาทต่อปีและไม่ได้มีการเติบโตมาก ในขณะที่จีนมีการเติบโตสูงมากมาตลอด

3) ชาวจีนชอบของคุณภาพดีจากต่างประเทศ

โดยลักษณะนิสัยของลูกค้าชาวจีนคือ ชอบเครื่องสำอางที่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศมาก โดยปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศที่เข้าไปบุกตลาดจีนมาเยอะแล้ว บริษัทใหญ่ๆ เช่น L’Oréal, Shiseido, Amore Pacific, Proctor & Gamble และอีกมากมาย บริษัทเหล่านี้สร้างรายได้จากชาวจีนได้สูงมากจนลูกค้าชาวจีนกลายเป็นกลุ่มรายได้หลักให้กับหลายๆบริษัทเลยทีเดียว

4) E-Commerce สำหรับเครื่องสำอางโตเร็วก้าวกระโดด

ชาวจีนนิยมสั่งซื้อเครื่องสำอางจากช่องทาง E-Commerce มากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจาก Euromonitor ให้ข้อมูลว่าในปี 2010 มีเพียง 10% ของยอดขายเครื่องสำอางในจีนที่ขายผ่านทาง E-Commerce เท่านั้น แต่ในปี 2016 กลับโตขึ้นมาเป็น 20% ของยอดขาย จนไปแย่งของช่องทาง Offline ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บริษัทเครื่องสำอางเน้นมากๆ โดยต้องทำให้ Online Platform ของตัวเองให้แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับของชาวจีนให้ได้

5) ชาวจีนชอบ Shopping Dutyfree เวลาเที่ยวต่างประเทศ

นอกจากบริษัทเหล่านี้จะนำสินค้าเข้าไปขายในจีนแล้ว บริษัทเหล่านี้ยังนำสินค้าขยายไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายอย่าง Duty Free อีกด้วย ซึ่งคนจีนเริ่มมีการท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นแล้ว และทุกครั้งที่เที่ยวต่างประเทศ คนจีนจะ Shopping เต็มที่โดยเฉพาะใน Duty Free โดย บริษัท Amore Pacific เจ้าของแบรนด์อย่าง ETUDE Innisfree และ Sulwhasoo มีรายได้จากช่องทาง Duty Free เกิน 40% ของรายได้รวมเพราะคนจีนซื้อไปใช้เป็นจำนวนมาก

ตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่ใหญ่ที่มีคู่แข่งพร้อมที่จะเข้าไปแย่ง Market Share โดยเฉพาะในตลาดที่มีการเติบโต และมีโอกาศที่จะเติบโตสูงขึ้นไปอีก ซึ่งประเทศจีนเป็นหนึ่งในนั้น ที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เราเคยได้ยินชื่อเข้าไปบุกตลาดเหล่านี้

ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากบริษัทต่างชาติที่เข้าไปในตลาดชาวจีนแล้ว ยังมีบริษัทในไทยหลายบริษัทเช่นกันที่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรจากชาวจีนได้สูงมาก ซึ่งไม่ใช่แค่บริษัทที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางเท่านั้นแต่ขายอย่างอื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นอีก Trend นึงที่น่าติดตามคือ Trend ลูกค้าชาวจีนนั่นเอง