
รู้จัก Rare Earth แร่หายากแห่งโลกอนาคต หัวใจสำคัญของเมกะเทรนด์ ประเทศไหนผลิตได้มากที่สุด ถูกใช้ในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง พร้อมแนะนำกองทุน Rare Earth ได้แก่ DAOL-RARE และ TRAREEARTH
เวลาพูดถึงทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ หลายคนอาจนึกถึงน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ แต่ในศตวรรษที่ 21 มีวัตถุดิบอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกเรียกว่า “หัวใจลับของเทคโนโลยี” นั่นคือ Rare Earth หรือแร่หายาก
ถึงแม้จะมีชื่อว่าหายาก แต่จริง ๆ แล้วสามารถพบได้ทั่วไปในเปลือกโลก เพียงแต่การขุดและการแยกสกัดอาจทำได้ยากและมีต้นทุนสูง บวกกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงไม่ใช่ทุกประเทศจะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ได้
Rare Earth พลังเงียบเบื้องหลังเทรนด์โลก
17 แร่ Rare Earth
เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กังหันลมกลางทะเล หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้หากไม่มี Rare Earth และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างทุกวันนี้
ตัวอย่าง Rare Earth ที่สำคัญ
- แม่เหล็กถาวร Neodymium-Iron-Boron (NdFeB) คือหัวใจที่ทำให้มอเตอร์ EV มีขนาดเล็กแต่ทรงพลัง และทำให้กังหันลมผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นแม่เหล็กถาวรชนิดที่แข็งแกร่งที่สุดในเชิงพาณิชย์เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
- Lanthanum (La) และ Cerium (Ce) อยู่เบื้องหลังหน้าจอที่คมชัด และกระบวนการผลิตแผงโซลาร์
- Europium (Eu), Terbium (Tb), Praseodymium (Pr) เติมเต็มสีสันให้ LED และจอทีวี
- ขณะที่ในอดีต แบตเตอรี่ NiMH ของรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรก ๆ ก็ต้องพึ่ง Rare Earth เช่นกัน
มิติด้านความมั่นคง
ความสำคัญของ Rare Earth ไม่ได้จำกัดอยู่ในสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ยังลึกไปถึงเทคโนโลยีทางทหาร โดยเครื่องบินรบ F-35 หนึ่งลำใช้แร่หายากกว่าหลายร้อยกิโลกรัม รวมถึงในระบบนำวิถีจรวด เรือดำน้ำ และเรดาร์ ล้วนต้องพึ่ง Rare Earth ทั้งสิ้น
นี่คือเหตุผลที่ ศูนย์ยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา (CSIS) เคยนิยามว่า Rare Earth เป็น “ทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์” เพราะการครอบครองหรือควบคุมห่วงโซ่อุปทานหมายถึงการได้เปรียบทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
จีน จักรพรรดิแห่ง Rare Earth
หากน้ำมันเคยถูกเรียกว่า “อาวุธยุทธศาสตร์” ของตะวันออกกลาง Rare Earth เองก็เป็น “อาวุธเงียบของจีน”
- ปี 2024 จีนผลิต Rare Earth คิดเป็น เกือบ 70% ของโลก (ประมาณ 270,000 ตัน)
- มีปริมาณสำรองราว 34% ของโลก (ประมาณ 44 ล้านตัน)
- และที่สำคัญที่สุดคือ เกือบ 100% ของการแปรรูป Rare Earth หนักเกิดขึ้นในจีน
นั่นหมายความว่า ต่อให้ประเทศอื่นมีแร่ในดิน แต่ก็ยังต้องพึ่งจีนในขั้นตอนการสกัดและทำให้บริสุทธิ์
จีนยังเดินเกมครบวงจร ตั้งแต่เหมืองยักษ์ ไป๋หยันโอโบ (Baiyun Obo) การควบคุมโควตาการผลิต ปราบเหมืองเถื่อน ไปจนถึงการตั้งคลังสำรอง Rare Earth แบบเดียวกับที่โลกเคยเห็นในยุทธศาสตร์น้ำมัน
นี่คือเหตุผลที่ Rare Earth ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุดิบ แต่เป็นเครื่องมือเจรจาในเกมภูมิรัฐศาสตร์ ที่จีนสามารถเปิด-ปิดก๊อกได้ตามสถานการณ์ จึงไม่แปลกที่สหรัฐฯ และยุโรปต่างกังวล และพยายามสร้างห่วงโซ่ทางเลือก
ประเทศอื่น ๆ พยายามไล่ตาม
- สหรัฐฯ มีเหมือง Mountain Pass ในแคลิฟอร์เนียเป็นหัวหอก ผลิตได้ราว 45,000 ตันต่อปี ครองตำแหน่งผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก และกำลังเร่งลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปเพื่อลดการพึ่งพาจีน โดยมีนโยบายเชิงรุกอย่างการตั้งกำแพงภาษี 25% กับแม่เหล็กแรร์เอิร์ธจากจีน (มีผลปี 2026) และท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลใหม่ที่ต้องการความมั่นคงของแร่ธาตุสำคัญ
- เมียนมา ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลกด้วยกำลังการผลิต 31,000 ตันต่อปี และเป็นแหล่งสำคัญของ “แรร์เอิร์ธหนัก” (Heavy Rare Earths) ที่จีนต้องพึ่งพาถึง 70% อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมในเมียนมามีความเปราะบางสูงจากปัญหาเหมืองนอกระบบ และความไม่สงบทางการเมืองล่าสุดที่กองกำลังอิสระเข้ายึดพื้นที่เหมืองสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานของจีน
ออสเตรเลีย, ไทย และไนจีเรีย เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตระดับกลางที่มีบทบาทน่าสนใจ ด้วยกำลังการผลิตเท่ากันที่ 13,000 ตันต่อปี
- ออสเตรเลีย เดินเกมผ่านบริษัท Lynas และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีปริมาณสำรองในประเทศสูงเป็นอันดับ 4 ของโลกที่ 5.7 ล้านตัน
- ไทย มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และกำลังตอกย้ำบทบาทการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่สำคัญจากการลงทุนของ BYD และมีโรงงานแปรรูปแม่เหล็กอยู่แล้ว
- ไนจีเรีย กลายเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าจับตาจากแอฟริกา และเพิ่งลงนามความร่วมมือกับฝรั่งเศสเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมแร่ธาตุสำคัญ
กลุ่มยักษ์หลับ ประเทศที่มีปริมาณสำรองมหาศาล แต่ยังคงมีกำลังการผลิตในระดับต่ำด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
- รัสเซีย แม้จะมีแร่สำรองมากเป็นอันดับ 5 แต่ผลิตได้เพียง 2,500 ตัน และกำลังพยายามหาทางร่วมมือกับชาติตะวันตกเพื่อพัฒนาโครงการที่ล่าช้า
- อินเดีย มีศักยภาพสูงจากแร่ชายหาด แต่ผลิตได้ 2,900 ตัน และกำลังพยายามยกระดับอุตสาหกรรมผ่านการเข้าร่วมกลุ่ม Minerals Security Partnership (MSP) ที่นำโดยสหรัฐฯ
- เวียดนาม มีปริมาณสำรองอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 300 ตัน เนื่องจากอุตสาหกรรมหยุดชะงักจากปัญหาคอร์รัปชันครั้งใหญ่ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอแผน
โอกาสลงทุนกองทุนธีม Rare Earth
- เป็นกองทุนที่ลงทุนใน VanEck Rare Earth and Strategic Metals ETF (REMX) เพียงกองเดียว
- REMX เน้นลงทุนในหุ้นผู้ผลิต Rare Earth และ Strategic Metals โดยตรง เช่น บริษัทเหมืองและผู้ผลิตแร่
- จุดเด่นคือ โฟกัสเฉพาะแร่หายากและโลหะสำคัญแบบตรงตัว
- เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในวัตถุดิบหายากและโลหะเชิงยุทธศาสตร์ (Rare Earth & Strategic Metals) กองนี้กระจายไป 2 กอง ETF อย่างละครึ่ง คือ
- VanEck Rare Earth and Strategic Metals ETF (REMX)
- Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT)
- โดย LIT ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ลิเธียมและแบตเตอรี่ ซึ่งไม่ได้มีแค่เหมือง แต่รวมถึงหุ้นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม EV และแบตเตอรี่ เช่น Tesla, CATL, Samsung SDI, LG
- จุดเด่นคือ ได้ทั้ง Rare Earth + Lithium + EV Ecosystem
อ้างอิง: US Geological Survey (USGS), Investing News Network, Visual Capitalist, Mineral Commodity Summaries
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

