
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ สรรเสริญ นินทา
ทุกอย่างในโลกมีของคู่กัน ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อมีตลาดขาขึ้น ก็ย่อมมีตลาดขาลง เช่นกัน
กว่าหลายร้อยปีมาแล้ว ที่นักลงทุนในตลาดพยายามหาสัญญาณ และหาเหตุผลต่างๆเพื่อนตรวจสอบและตรวจจับสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มของตลาด จากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลง เป็นขาขึ้น และหนึ่งในเครื่องมือ ซึ่งเหมือนเป็นลายแทงในการดูการเปลี่ยนเทรน ก็คือ การดูรูปแบบของการเคลื่อนไหวของราคา (Pattern)
บทความนี้ขอพูดถึงเหตุการปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย เพื่อเป็นกรณีศึกษา เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยในรอบที่ผ่านมา ไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,649 จุด แล้วเกิดแรงเทกระจาดลงมา จนมายืนตรง 1,400 จุด ณ ปัจจุบัน (วันที่ผมเขียนคือ 22 มิ.ย. 56)
ไม่ว่าหุ้นในตลาดไหนจะดีขนาดไหน การปรับฐานย่อยเล็กๆน้อยๆ จะเกิดขึ้นตลอดทาง และเพื่อให้มีแรงขยับขึ้นไปได้รุนแรง ก็ต้องมีการปรับฐานรุนแรง เพื่อเขย่าเอานักลงทุนที่วิ่งเข้ามาหวังเพียงแค่เก็งกำไรออกไป ให้เหลือแต่ผู้ที่มั่นใจ หรือผู้ที่กล้าวิ่งไปตามแนวโน้มเพื่อเก็บกำไรก้อนใหญ่
ใน Elliott Wave Theory นั้น มีกล่าวถึงรูปแบบการปรับฐาน ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายแบบ แต่ไม่ยากที่จะจดจำเพื่อเป็นลายแทงในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ต และทยอยสะสมหุ้นกลับเมื่อถึงเวลาอันควรนะครับ เริ่มแรก Elliott มองว่า ขาขึ้นราคาหุ้น หรือดัชนี จะประกอบด้วย 5 คลื่น (1-2-3-4-5) และขาลง ประกอบด้วยคลื่น 3 คลื่น (a-b-c) ตามรูป

ในขาลง (a-b-c) ฝรั่งเรียกขาลงนี้ว่า Corrective Wave เขาบอกว่า ขาลงประกอบด้วยคลื่น 3 ลูก
a จะเป็นคลื่นขาลงลูกแรกที่ลงเร็ว ลงแรง แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งโดยปกติ ดัชนี หรือราคาหุ้น จะส่งสัญญาณก่อนกลับตัวด้วย Bearish Divergence ใน Indicator สำคัญๆอย่าง MACD หรือ RSI มาก่อนหน้านี้
b ภาษาง่ายๆ เราเรียกว่า รอบเด้ง เนื่องจาก a นั้นลงมาแรงและเร็วเกินไป นักลงทุนในตลาดที่ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อดัชนี จะยังทยอยสะสม และซื้ออยู่ เพื่อหวังว่าดัชนีจะมีโอกาสขึ้นไปผ่านจุดสูงสุดเดิมก่อนที่จะลงมายังคลื่น a
c เป็นคลื่นสุดท้าย ที่มีจุดสังเกตุคือ คลื่น b ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ (Lower High) นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่จะเริ่มรู้แล้วว่า ตลาดเริ่มตันๆ ข่าวร้ายจะเริ่มมาบ่อย และหนักขึ้น จนเกิดแรงขายอีกรอบ
ต่อมา Corrective Wave บอกว่า รูปแบบการปรับฐาน เกิด a-b-c เนี่ยแน่ๆ แต่ a-b-c ก็มีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีตามนี้
Zigzags (5-3-5)

Flats (3-3-5)

ขอหยุดแค่ สองรูปแบบนี้ก่อนนะครับ เพราะฉะนั้น หากดัชนีเข้าสู่ขาลง การปรับฐานจากคลื่น a เรานับคลื่นได้แค่ 3 คลื่นย่อย ให้สมมติฐานว่า Corrective Wave เป็นแบบ Flats โอกาสที่คลื่น c จะลงไปต่ำกว่า จุดต่ำสุดของ a อาจไม่มาก แต่ถ้าเมื่อไหร่ นับได้ 5 คลื่นย่อยในคลื่น a ก็ตัดรูปแบบ Flats ไปได้เลย งั้นไปดูอีก 2 รูปแบบ
Triangles (3-3-3-3-3)

Double threes and triple threes (combined structures)

เพราะฉะนั้น ในคลื่น a คลื่นแรก จากจุดสูงสุดของขาขึ้น หากนับได้ 5 คลื่น จะถือเป็น Corrective Wave ที่ง่ายในการอ่านทิศทางที่สุด เพราะรู้แน่ๆว่าเป็น Zigzag แต่ถ้าเป็น 3 คลื่นย่อยใน a โอกาส อาจจะเป็น Flats หรือ Triangles หรือ Double threes and triple threes ก็ได้
มาวันนี้หากนับคลื่นย่อยในขาลงคลื่น a (ดูรูปด้านล่างประกอบ)
หากเจาะ TF ไปดูราย 15 นาที จะนับได้ 5 คลื่นย่อยในคลื่น a (รูปนี้ผมนับไว้ตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.)

มาดูกันครับว่า Elliott Wave จะใช้ได้จริงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้หรือไม่
ส่วนตัวแล้ว ผมก็ใช้เป็นแค่หนึ่งแนวทางในการประกอบการตัดสินใจ แล้วก็ไปดู Fundamental ไปใช้เครื่องมือทางเทคนิคตัวอื่น และดูการเกิด Bullish Divergence ประกอบการตัดสินใจทยอยสะสม เพราะถ้า Elliott Wave มันดีจริง ป่านนี้คงทั้งโลกก็คงจะใช้มันอย่างเดียว ไม่ต้องไปดูอย่างอื่นแล้ว ถูกไหม? ^^