เจาะลึก “Rare Earth” หมากตัวสำคัญของจีน ในสงครามการค้า

ประเด็นที่กำลังร้อนแรงระดับโลกขณะนี้คงหนีไม่พ้น “สงครามการค้า” หรือ “Trade war” ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อแย่งชิงตำแหน่ง “ผู้นำเทคโนโลยีโลก” ซึ่งหากใครได้ตำแหน่งนี้ไป นั่นหมายความว่าจะได้เป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกเลยทีเดียว

ความขัดแย้งเริ่มทวีความรุนแรง เมื่อสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 25% รวมถึงการขึ้นบัญชีดำ “Huawei” ยักษ์โทรคมนาคมของจีน ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้ใช้งานอุปกรณ์ของ Huawei ทั่วโลก และบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐอีกหลายรายก็ออกมาส่งสัญญาณตัดสัมพันธ์กับ Huawei รวมถึงบริษัทผู้ผลิตกล้อง CCTV 5 แห่งในจีน ซึ่งมี Hikvision ผู้ผลิตกล้อง CCTV รายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกก็โดนแบนไปด้วย

แล้วจีนจะมีมาตรการตอบโต้สหรัฐในสงครามการค้านี้อย่างไร ?

สำนักข่าว Xinhua รายงานว่า ประธานาธิบดี Xi Jinping พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตแร่รายใหญ่ JL Mag Rare-Earth ที่ผลิตแร่หายาก Rare Earth ในเมืองกวางโจว แต่ไม่ได้มีการกล่าวถึงสงครามการค้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า อาจเป็นการส่งสัญญาณจากจีนว่าอาจจะใช้แร่หายาก Rare Earth เป็นอาวุธเด็ดในการต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ

ที่น่าสนใจ คือหลังมีข่าวว่ารัฐบาลปักกิ่งกำลังพิจารณา “ห้าม” ส่งออกแร่ธาตุชนิดนี้ ก็ทำให้มูลค่าราคาหุ้นเหมืองแร่ของจีน ราคาพุ่งเกิน 100% ซึ่งรวมไปถึงหุ้นบริษัท China Rare Earth Holdings ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของจีนที่ประธานาธิบดี Xi Jinping ไปเยือน

แล้ว “แร่ธาตุที่หายาก” หรือ “Rare Earth” นี้มันสำคัญอย่างไรกัน ?

“แร่ธาตุที่หายาก” หรือ “Rare Earth” นี้เป็นแร่ธาตุโลหะเบา ประกอบด้วยธาตุหายาก 17 ชนิดที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำจำเป็นในการผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกแทบทุกชนิด โดยเฉพาะโทรศัพท์ โดยได้ถูกนำมาใช้ในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของชีวิตประจำวันบนโลกมนุษย์ ตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แลปทอป รถไฮบริด ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีส่วนสำคัญสำหรับการสร้างอาวุธในโลกสมัยใหม่ อย่างเช่น ระบบนำวิถีขีปนาวุธ หรือแม้แต่ระบบอาวุธของเครื่องบินขับไล่ ไปจนถึงชิ้นส่วนยานอวกาศ

จีนได้แสดงอาวุธเด็ดที่อยู่ในมือให้เห็นว่าตนเป็นผู้ครอบครอง Rare Earth และยังเป็นผู้ผลิตและส่งออก Rare Earth รายใหญ่สุดของโลกอีกด้วย โดยจีนผูกขาดในสัดส่วนถึง 90% ของโลก ขณะที่สหรัฐเป็นผู้นำเข้าแร่แรร์เอิร์ทจากจีนหลักถึง 80% ทั้งยังไม่อยู่ในรายการสินค้าที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าด้วย ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า รัฐบาลจีนอาจสั่งห้ามส่งออก Rare Earth เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Rare Earth มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ และสะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐจำเป็นต้องพึ่งพาจีนอยู่บ้างในฐานะผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ของโลก โดยในปี 2561 จีนสกัด Rare Earth ได้ 120,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 15,000 ตันจากปีก่อน ขณะที่สหรัฐสกัดได้เพียง 15,000 ตัน ความแตกต่างมันจึงมีมากกว่า 10 เท่า แถมจีนยังมีสำรองอยู่ถึง 44 ล้านตัน ส่วนสหรัฐฯ มีเพียง 1.4 ล้านตันเท่านั้น

หากจีนแบนส่งออก Rare Earth ไปสหรัฐฯ อาจทำให้สหรัฐฯ ต้องสำรวจเอง แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะผลิต Rare Earth ได้ตามความต้องการ ซึ่งในช่วงเวลานี้สหรัฐอาจขาดแคลน Rare Earth จนผลิตสินค้าไม่ได้ และสหรัฐจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนเอง เพราะอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก และอาจได้เห็นภาพความวุ่นวายปั่นป่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเต็มๆ ตามมาในอนาคตก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาจีนเองได้พัฒนาเทคโนโลยี “ชิป” และระบบปฏิบัติการ (OS) มีชื่อว่า “HongMeng” เพื่อที่จะเลิกการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มาอย่างเงียบ ๆ มานานแล้ว รวมถึงบริษัทลูก “ไฮซิลิคอน” (HiSilicon) ก็เร่งพัฒนาชิปเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเอง

เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนระบุว่า แม้ว่า Huawei จะใช้ชิปของสหรัฐในการผลิตอุปกรณ์ของ Huawei มากกว่า 50% แต่บริษัทก็พร้อมรับมือต่อมาตรการแบนของสหรัฐฯ พร้อมทิ้งท้ายว่า “สหรัฐประเมินศักยภาพของเราต่ำเกินไป”

อ่านมาถึงตรงนี้ คงเห็นถึงความสำคัญของ “Rare Earth” กันแล้ว … รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิต “Rare Earth” เบอร์ 5 ของโลก แล้วงานนี้จะส่งผลดีต่อประเทศไทยอย่างไร ? รอติดตามกันในบทความต่อไปครับ …

———-

References : Bloomberg, cnbc, Yahoo finance, bangkokbiznews, prachachat, sanook, droidsans, brandinside