กระทรวงสถิติอินเดียเปิดเผยข้อมูลเมื่อวานนี้ (29 .. 2567) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียในไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2567 (..-.. 2566) เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนภาคเอกชนที่แข็งแกร่งและการใช้จ่ายด้านบริการที่ปรับตัวดีขึ้น

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวมากกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ และถือเป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาล เพราะอินเดียใกล้จะเปิดหีบเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนนี้

นอกจากนี้ ทางการอินเดียยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2567 ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนมี.. 2567 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 7.3% เพิ่มขึ้นเป็น 7.6% ซึ่งจะทำให้อินเดียเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

นักวิเคราะห์ชี้ว่า การเพิ่มภาษีอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ GDP อินเดียเพิ่มขึ้นเหนือคาดการณ์ โดยตัวเลขมูลค่าเพิ่มรวม (GVA) ซึ่งหักภาษีและเงินอุดหนุนออกจากตัวเลข GDP ขยายตัว 6.5% ในไตรมาส 4 ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้านั้นที่ขยายตัว 7.7%

ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/379635

🇮🇳 กองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำโดย Mr.Messenger:

ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูง ทำให้แนวโน้มเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียหลัง MSCI เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียในการคำนวนดัชนี Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน B-BHARATA และกองทุน TISCOINA-A

1️⃣ B-BHARATA

  • กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุน RAMS Investment Unit Trust – India Equities Portfolio Fund II
  • เน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น
  • อัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 45% ของเงินลงทุน
  • ดูรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://finno.me/pick-b-bharata

2️⃣ TISCOINA-A

ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลัก ได้แก่

  1. Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up พิจารณาจากพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ประมาณ 25-30 ตัว จาก Universe ประมาณ 240 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
  2. FSSA Indian Subcontinent Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up คัดเลือกหุ้นที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยเน้นลงทุนประมาณ 50 ตัว กระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
  3. Goldman Sachs India Equity Portfolio: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up เลือกหุ้นประมาณ 70-100 ตัว จาก Universe ประมาณ 700 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางเล็ก

 

📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/mr-messenger/call-india-feb-2024/


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 . ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

iran-israel-war