อินเดียตั้งเป้าขึ้นแท่น “มหาอำนาจผลิตชิป” 5 อันดับแรกของโลก ภายใน 5 ปีข้างหน้า

นายอัศวิน ไวษณวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงการรถไฟ และกระทรวงการสื่อสารอินเดียระบุว่า อินเดียหวังจะก้าวขึ้นมาอยู่ใน 5 อันดับแรกของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้า

นายไวษณวะให้สัมภาษณ์ในรายการ Street Signs Asia ของสถานีโทรทัศน์ช่อง CNBC เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มี.. ว่าอุตสาหกรรมชิปนั้นเป็นตลาดที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน ห่วงโซ่คุณค่าโลก (global value chains) และห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chains) ก็มีความซับซ้อนอย่างสูงภายใต้บริบทในปัจจุบัน เราคิดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราจะอยู่ใน 5 อันดับแรกของประเทศผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก

ข้อมูลจา TrendForce บริษัทมาร์เก็ตอินเทลลิเจนซ์ ระบุว่า ณ เดือน ธ.. 2566 ไต้หวันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 46% ของศักยภาพการผลิตเซมิคอนดักเตอร์โลก ตามมาด้วยจีนที่ 26%, เกาหลีใต้ 12%, สหรัฐ 6% และญี่ปุ่น 2%

อินเดียจะได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทต่าง ๆ พิจารณาลดการพึ่งพาจีน เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลงในอนาคตอันใกล้

นายไวษณวะระบุว่า อินเดียมองตนเองในฐานะพันธมิตรห่วงโซ่คุณค่าที่เชื่อถือได้สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ทางอุตสาหกรรมและกลาโหม และอิเล็กทรอนิกส์ไฟฟ้า นัยหนึ่งก็คือผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทที่ต้องออกแบบและผลิตเซมิคอนดักเตอร์

ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2024/384196

🇮🇳 กองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำโดย Mr.Messenger:

ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูง ทำให้แนวโน้มเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียหลัง MSCI เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียในการคำนวนดัชนี Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน B-BHARATA และกองทุน TISCOINA-A

1️⃣ B-BHARATA

  • กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุน RAMS Investment Unit Trust – India Equities Portfolio Fund II
  • เน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น
  • อัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 45% ของเงินลงทุน
  • ดูรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://finno.me/pick-b-bharata

2️⃣ TISCOINA-A

ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลัก ได้แก่

  1. Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up พิจารณาจากพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ประมาณ 25-30 ตัว จาก Universe ประมาณ 240 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
  2. FSSA Indian Subcontinent Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up คัดเลือกหุ้นที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยเน้นลงทุนประมาณ 50 ตัว กระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
  3. Goldman Sachs India Equity Portfolio: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up เลือกหุ้นประมาณ 70-100 ตัว จาก Universe ประมาณ 700 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางเล็ก

 

📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/mr-messenger/call-india-feb-2024/


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 . ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

iran-israel-war