Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

หัวข้อการเลือกซื้อประกันชีวิต จะซื้อแบบไหนดีนะ พูดเท่าไรก็คงไม่จบ…แต่มอนสเตอร์ยังเชื่อว่า หลักสำคัญของการซื้อประกันคือตัวเราเองนี่แหละเหมาะกับแบบไหน เพื่อจะได้ประกันรูปแบบที่ตรงกับเป้าหมายและความต้องการของเราที่สุด

วันนี้มอนสเตอร์จึงอยากนำเสนอ ประกันชีวิตที่เหมาะกับการวางแผนการศึกษาลูกจ้า ซึ่งอาจจะเป็นเป้าหมายสำหรับใครหลายๆ คนในตอนนี้จ้า…

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

มอนสเตอร์ต้องบอกก่อนว่า การวางแผนการศึกษาให้กับลูกในที่นี้ มอนสเตอร์ขอตีความหมายดังนี้

“การลงทุนหรือออมเพื่อการศึกษา + การคุ้มครองคนที่ทำหน้าที่หาเงิน (คุณพ่อ คุณแม่ หรือทั้งคู่)”

เพราะฉะนั้น มอนสเตอร์ขอจำกัดความหมายในส่วนของการเลือกซื้อประกันชีวิตไปที่การซื้อความคุ้มครองนะ และประกันที่เน้นความคุ้มครองหลักๆ ก็คือ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term) และประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life)

ประกันทั้ง 2 แบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน อย่างประกันแบบ Term ก็จะจ่ายเบี้ยน้อยเพื่อความคุ้มครองที่สูง และเงื่อนไขไม่ได้ซับซ้อนอะไร นั่นคือ ตาย จ่าย จบ ในขณะที่ประกันแบบ Whole Life ไม่มีวันหมดอายุแต่ก็แลกมาด้วยเบี้ยที่แพงกว่า นักวางแผนการเงินชื่อดังอย่าง Dave Ramsey ก็เป็นอีก 1 คนที่เชื่อในประกันแบบ Term แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Term จะเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับทุกคน แต่ประกัน Whole Life อาจจะใช่สำหรับบางคนถ้ามีจุดประสงค์ที่ต่างออกไป

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
สรุป ประกันแบบชั่วระยะเวลา (Term) คืออะไร? ทำไมถึงไม่ค่อยมีใครรู้จัก?
(https://www.finnomena.com/insuremonster/term-insurance/)

Term vs Whole Life: เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

สรุปแบบประกัน Term

ด้วยความที่ประกันแบบ Term เป็นการประกันชีวิตที่แท้จริง” เลยทำให้มีเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อน และตรงไปตรงมา นั่นคือคนทำประกันจะได้ผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตเท่านั้น (ครบกำหนดสัญญาแล้วยังมีชีวิตอยู่จะไม่ได้รับเงินอะไร)

ใจความหลักของประกันแบบ Term คือ ระยะเวลา ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่กรมธรรม์ยังมีผล ด้วยความที่ Term มีระยะเวลาคุ้มครองไม่ยาวมากนัก จึงเป็นประกันที่เหมาะกับคนที่ต้องการสร้างฐานะ (ลงทุน สร้างความมั่งคั่ง) ในช่วงระยะเวลาหนึ่งและไม่ได้ต้องการความปลอดภัยทางการเงิน (Safety Net) หลังพ้นช่วงสร้างฐานะประกันแบบ Term มีต้นทุนที่ถูกเพราะจุดประสงค์ของเบี้ยประกันถูกนำไปซื้อความคุ้มครองเป็นหลัก ไม่ได้ต้องนำไปลงทุนหรือจ่ายค่าธรรมเนียมกรมธรรม์อะไร ไม่เหมือนกับประกัน Whole Life และประกันแบบ Termสามารถยกเลิกได้ก่อนหมดระยะเวลาคุ้มครอง โดยที่ไม่ได้เสียมูลค่าอะไร

แต่ก็อย่าลืมว่าด้วยความคุ้มครองในระยะเวลาที่จำกัดหากคุณต้องการความคุ้มครองหลังช่วงอายุ 60 ปี (หลังเกษียณ) การหาซื้อประกันฉบับใหม่ก็อาจจะแพงมากทีเดียว

สรุปแบบประกัน Whole Life บ้าง

ประกันแบบ Whole Life มีระยะเวลาคุ้มครองยาว (อาจจะตลอดชีวิต หรือถึงอายุ 80 หรือ 85 ปี แล้วแต่แบบที่ซื้อนะ) เพราะฉะนั้นคนซื้อก็ไม่ต้องมาวิ่งวุ่นซื้อกรมธรรม์ใหม่เมื่ออายุมากขึ้นซึ่งบางบริษัทประกันอาจจะไม่รับประกันหรือเบี้ยอาจจะแพงมาก

ประกัน Whole Life ซับซ้อนกว่า Term แต่สิ่งที่ต่างกันหลักๆ คือ มูลค่าเงินสดซึ่งเปรียบเสมือนการนำผลิตภัณฑ์การลงทุนและประกันชีวิตมารวมกัน และมูลค่าเงินสดก็มีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกู้จากกรมธรรม์ (ดอกเบี้ยไม่แพงนะจ๊ะ) หรืออาจจะเอาเงินออกมาใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ

นอกจากนี้ด้วยความที่ประกัน Whole Life มีส่วนของเงินออม (ที่นำไปลงทุน) จึงเป็นการบังคับให้ออมเงินไปในตัว (แต่ถ้าเอาไปลงทุนเอง ก็น่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่านะ) และที่สำคัญๆๆๆๆ ประเด็นที่คนขายประกันเอามาชูก็คือการใช้ประกัน Whole Life สำหรับเป็นเงินมรดก เพราะเงินที่ได้จากประกันชีวิต (กรณีเสียชีวิต) ไม่ต้องเสียภาษีมรดกนะ เงินทั้งหมด 100% ก็จะตกเป็นของทายาทซึ่งความซับซ้อนของมันนี่แหละที่ทำให้ต้นทุนแพงกว่าแบบ Term ซึ่งบางคนก็เลยไม่สามารถซื้อความคุ้มครองที่เพียงพอหรือต้องยกเลิกกรมธรรม์เพราะต้นทุนที่แพง

หลังจากที่เราคุยกันเรื่องประกันทั้ง 2 แบบไปแล้ว ทีนี้ ถ้าเรานำประกันแบบ Term และ ประกันแบบ Whole Life ไปวางแผนการศึกษาลูกล่ะ แบบไหนจะดีกว่ากันนะ?

ถ้าอย่างนั้น เราลองมาดูการวางแผนการศึกษาลูกโดยใช้ Kid’s Wealth Path

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Kid’s Wealth Path – นวัตกรรมตอบโจทย์การวางแผนการศึกษาให้ลูกน้อยขอคุณ
(https://www.finnomena.com/fundtalk/kids-wealth-path/)

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

ใจความสำคัญของ Kid’s Wealth Path คือการตั้งเป้าหมายการศึกษาของลูกเพื่อปรับเป้าหมายให้เข้ากับศักยภาพทางการเงินของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งประกอบไปด้วยการลงทุนผ่านแผน GOAL และการซื้อความคุ้มครองเพื่อกำจัด Tail Risk (ความเสี่ยงในเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่ถ้าเกิดขึ้นจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงมากเช่น การเสียชีวิต)

มอนสเตอร์จะเปรียบเทียบให้ดูนะว่าในการวางแผนการศึกษาแบบ Kid’s Wealth Path ประกันแบบไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน มาดูกรณีศึกษานี้กันนะ

ตัวอย่าง ด.ญ.ม่อน สเตอร์

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

  • เด็กหญิงม่อน อายุ 1 เดือน เกิด 19 ม.ค. 2562
  • ผู้ปกครองตั้งใจให้เด็กหญิงม่อน เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลชนานันท์ (ตัวเลือกหลัก) และ โรงเรียนอนุบาลแสงโสม (ตัวเลือกรอง)
  • มีแผนจะเรียนต่อระดับประถมและมัธยมที่โรงเรียนสาธิตเกษตร ภาคอินเตอร์ (ตัวเลือกหลัก) หากไม่ได้จะเบนเข็มไปเรียนโรงเรียนนานาชาติซึ่งมองโรงเรียนราคาระดับ SISB ไว้ (ตัวเลือกรอง)
  • มีแผนจะให้ลูกศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศหลักสูตรอินเตอร์ สาขาวิชาไหนก็ได้ (ตัวเลือกหลัก) และเรียนเอแบคเป็นตัวเลือกรอง
  • ตั้งเป้าเรียนปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอังกฤษ (ตัวเลือกหลัก) หรือปริญญาโทภาคอินเตอร์ในประเทศ (ตัวเลือกรอง)
  • ตั้งเป้าเก็บเงินก้นถุงให้ลูก 1,000,000 บาท ไว้ให้เป็นเงินตั้งตัวเมื่อเรียนจบ
  • ปัจจุบันคุณแม่เด็กหญิงม่อน อายุ 36 ปี มีเงินเก็บประมาณ 1 ล้านบาท และพร้อมลงทุนรายเดือนประมาณ 20,000 บาทและซื้อประกันชีวิตปีละไม่เกิน 2 แสนบาท
  • ผู้ปกครองต้องการสร้างแผนที่การเงินลูกฉบับสมบูรณ์ด้วย GOAL + ProtectionTerm Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

Kid’s Wealth Path ของ ด.ญ.ม่อน จะเป็นดังนี้

– เงินลงทุนตั้งต้น: 400,000 บาท

– เงินลงทุนรายเดือน: 19,825 บาท

– ระยะเวลาที่ต้องการความคุ้มครองคือ 25 ปี

– ทุนประกันที่เหมาะสมสำหรับผู้ปกครองคือ 14.2 ล้านบาท

  • เงินลงทุนเงินซื้อประกัน Term Life 15/15 ต่อปี : 55,806 บาท
  • เงินซื้อประกัน Term Life 10/10 ต่อปี : 112,322 บาท (เมื่อด.ญ.ม่อนขึ้นชั้น ม.3 และคุณแม่อายุ 51 ปี)
  • เงินซื้อประกัน Whole Life 20/99 ต่อปี: 261,706 บาท
  • สมมติอัตราผลตอบแทนของแผน GOAL ที่ 8%

ในกรณีนี้ หากคุณแม่ของด.ญ.ม่อน ซื้อประกันแบบ Term คุณแม่ก็จะนำเงินส่วนต่างระหว่างเบี้ย Term และ Whole Life ไปลงทุนผ่านแผน GOAL ซึ่ง

  • ในปีที่ 1-15 คุณแม่จะมีเงินส่วนต่างจากการซื้อ Term 15/15 แทน Whole Life 205,900 บาท และนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนผ่านแผน GOAL แทน
  • ในปีที่ 16-20 คุณแม่ต้องเปลี่ยนมาซื้อ Term 10/10 เมื่ออายุ 51 ปี และจะมีเงินส่วนต่างจากการซื้อ Term แทน Whole Life 149,384 บาท และนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนผ่านแผน GOAL แทน
  • ปีที่ 21-25 หากคุณแม่ซื้อประกัน Whole Life ตั้งแต่แรก คุณแม่จะไม่ต้องจ่ายเบี้ย Term ในช่วงนี้ 122,322 บาท และนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนผ่านแผน GOAL แทน

ถ้าทำเช่นนี้ ณ ปีที่ 25 เมื่อ ด.ญ.ม่อนสำเร็จการศึกษาระดับ ป.โท คุณแม่จะเหลือเงินเท่าไร?

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

1. หากลงทุนผ่านแผน GOAL และซื้อประกันแบบ Term คุณแม่ของด.ญ.ม่อนจะมีเงินทั้งหมด 33,784,773 บาท

2. หากคุณแม่ของด.ญ.ม่อนลงทุนผ่านแผน GOAL และซื้อประกันแบบ Whole Life และเวนคืนกรมธรรม์ ปีที่ 25 คุณแม่ของด.ญ.ม่อนจะมีเงินทั้งหมด 25,626,030 บาท

Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ?

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะส่วนต่างของเบี้ยประกัน Term และ Whole Life นั้นมากถึง 1-2 แสนบาทในแต่ละปีเป็นเวลาถึง 20 ปี จึงทำให้เงินลงทุนผ่านแผน GOAL งอกเงยและชนะมูลค่าเงินสดของประกัน Whole Life และไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ (เพศชายหรือเพศหญิง) การซื้อประกันแบบ Term พร้อมกับการลงทุนแผน GOAL ก็จะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน คือ จะมีเงินเหลือมากกว่าการซื้อประกันแบบ Whole Life นั่นก็เป็นเพราะ

1. ต้นทุนของการซื้อ Term นั้นถูกกว่าแบบประกันอื่นๆ

2. เราสามารถนำเงินส่วนต่างไปลงทุนด้วยตัวเองซึ่งก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่ามูลค่าเงินสดของ Whole Life

มอนสเตอร์ขอสรุปสั้นๆ ว่าถ้าเป็นในกรณีการวางแผนการศึกษาที่ผู้ปกครองต้องการความคุ้มครองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ไม่ได้ต้องการยิงยาวตลอดชีวิต) นั่นคือช่วงสร้างฐานะ ประกันชีวิตแบบ Term ก็เป็นแบบที่คุ้มที่สุดสำหรับกรณีนี้จ้า…

ที่มา:
https://www.policygenius.com/life-insurance/learn/whole-life-versus-term-life-insurance/

https://www.daveramsey.com/blog/term-life-vs-whole-life-insurance


ใครที่สนใจใช้ประกันชีวิตแบบ Term มาประกอบการวางแผนการศึกษาให้ลูก ขอแนะนำให้รู้จักกับ KID’S WEALTH PATH ค่ะ

KID’S WEALTH PATH คือ นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก FINNOMENA ที่จะช่วยตอบโจทย์การวางแผนการศึกษาให้ลูก เหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาและมองหาโรงเรียนให้เจ้าตัวน้อย “เพราะความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก” ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ https://www.finnomena.com/kidswealthpath/ หรือ คลิกที่แบนเนอร์ข้างล่างได้เลย