ผมเชื่อว่าการจะลงทุน หลายๆคนก็คงจะอ่านหนังสือหรือเข้าคอร์สต่างๆกันบ้างไม่มากก็น้อย แต่หลายๆคนก็จะพบว่าพอมาลงทุนจริงๆแล้วมันกลับไม่เป็นไปตามที่เราเรียนหรืออ่านมา เช่นเดียวกับเด็กนักเรียนที่จบการศึกษามาและเจอกับโลกของการทำงานจริงๆ

การลงทุนก็เช่นกัน ในตำรานั้นเราพอจะรู้คร่าวๆว่าการลงทุนคืออะไรและเราควรจะลงทุนในบริษัทแบบไหน แต่ตลาดของจริงนั้นกลับทำให้ความรู้ที่เราเรียนมาไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเนื่องจากความผันผวนของตลาดนั้นมีอำนาจเหนือความรู้ของเราในช่วงเริ่มต้น

สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มลงทุน โดยเป้าหมายแรกก็คือไม่ใช่การร่ำรวมจากการลงทุน แต่เป็นการหาหุ้นตัวแรกสำหรับการลงทุน การลงทุนครั้งแรกนั้นเหมือนกับค่าวิจัยและพัฒนาธุรกิจ เราจะต้องใช้เวลาโดยที่ยังไม่สร้างผลตอบแทนอะไรมากนัก แต่ทั้งนี้การวิจัยที่เราจะทำจะไม่ให้ขาดทุนมากเกินไปและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีตามระยะเวลาที่เราลงทุน

1. แนวโน้มเติบโต

บริษัทที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับหุ้นตัวแรกคือบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งจริงๆแล้วการเติบโตสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท แต่ผมเชื่อว่าสำหรับคนที่ลงทุนครั้งแรกนั้นไม่สามารถทำอะไรที่ซับซ้อนได้มากนักเนื่องจากภาวะตลาดเป็นตัวกดดัน ดังนั้นผมมีคำแนะนำสำหรับส่วนนี้คือ

  1. มีแนวโน้มรายได้ที่เติบโต
  2. มีแนวโน้มกำไรที่เติบโต

เพียง 2 ข้อดังกล่าวก็พอเพียงสำหรับการดูแนวโน้มของบริษัทที่เราจะลงทุน โดยภาพรวมแล้วบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตไม่จำเป็นต้องมีการเติบโตทุกๆไตรมาส ความผันผวนของรายได้และกำไรสามารถเกิดขึ้นได้บ้าง แต่แนวโน้มภาพใหญ่นั้นต้องเติบโต

2. ราคาหุ้นไม่แพงเกินไป

สิ่งที่มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนของเรามากที่สุดคือต้นทุนที่เราลงทุน ดังนั้นการลงทุนที่ดีนั้นจะต้องลงทุนด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเกินไป แต่หลักการเหล่านี้เป็นนามธรรมมากเกินไป สำหรับผู้ที่เริ่มลงทุนครั้งแรกไม่สามารถประเมินได้เท่าไหร่นักว่าราคาสมเหตุสมผลคือเท่าไหร่ เพราะเรื่องนี้ต้องใช้ประสบการณ์และจินตนาการของเราซึ่งเราจะเริ่มมีสะสมมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อลงทุน

หากต้องการสิ่งที่เป็นรูปธรรมสำหรับการลงทุนในหุ้นตัวแรก ผมแนะนำว่าเราสามารถดูค่า PE ได้เลย โดยที่ PE ที่เราลงทุนควรจะระมัดระวังไม่ให้เกิน 15 เท่าสำหรับหุ้นตัวแรก เราสามารถทำเช่นนี้ได้เพราะเรากรองข้อ 1 มาแล้วว่าบริษัทมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งตรงนี้จะเป็นการตัดบริษัทที่มีผลประกอบการผันผวนออกไปแล้ว ทำให้การใช้ PE สมเหตุสมผลมากขึ้น

3. มีปันผลหล่อเลี้ยง

การผันผวนของราคาอาจจะทำให้เราเกิดความกังวลในการลงทุนครั้งแรกของเรา เราอาจจะเริ่มไม่มั่นใจเมื่อราคาหุ้นตกลงและเริ่มมั่นใจเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แต่จุดนี้เป็นจุดที่เราไม่ควรให้ความสำคัญมากนักเนื่องจากไม่มีผลต่อการลงทุนของเรา แต่หากมองสิ่งที่จะทำให้เราคลายความกังวลจากการลงทุนได้คือบริษัทควรจะมีปันผลให้เราระหว่างทาง แต่จุดสังเกตุที่ดีว่าบริษัทที่เราลงทุนไม่แพงเกินไปคือราคาต้นทุนที่เราซื้อหุ้นควรจะให้ปันผลอย่างน้อย 4% หากต่ำกว่านี้ผมถือว่าหุ้นไม่เหมาะสำหรับการลงทุนครั้งแรก

4. ลงทุนด้วยเงินไม่มาก

หลังจากที่เราคัดกรองด้วย 3 ข้อข้างต้น เราก็จะได้หุ้นมาจำนวนหนึ่งซึ่งเหล่านี้มีความปลอดภัยในการลงทุนระดับหนึ่งอยู่แล้ว การลงทุนของเราจะเก่งมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราจะต้องเริ่มลงเงินจริง ให้เราเลือกบริษัทที่เราคิดว่าน่าจะมีอนาคตดีมากที่สุดในความรู้ที่เรามี ณ จุดนั้น เมื่อเราเลือกได้แล้วให้เราลงทุนด้วยเงินสัดส่วนไม่มากนัก เช่น 5-10% ของเงินทุนทั้งหมดที่เราเตรียมไว้ ทั้งนี้เปรียบเสมือนการหย่อนขาลงบ่อน้ำด้วยขาข้างเดียวก่อน จุดประสงค์เพื่อให้เรารู้จักตลาดหุ้นของจริงว่าเป็นอย่างไร และให้เราเรียนรู้อารมณ์เมื่อเราอยู่ในตลาด

จุดมุ่งหมายของหุ้นตัวแรกไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนที่สูงที่สุด แต่เพื่อปรับตัวในการเข้าสู่โลกของตลาดทุน ดังนั้นกำไรหรือขาดทุนจากหุ้นตัวแรกไม่มีสิ่งที่สำคัญเท่าใดนัก เพราะหากเราลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย เมื่อขาดทุนก็จะไม่มาก และหากได้กำไรก็ไม่มากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตเช่นกัน แต่ให้นึกเสมอว่าแนวทางของเราคือลงทุนระยะยาว ดังนั้นความผันผวนระยะสั้นไม่ใช่สิ่งที่จะบ่งบอกถึงความสามารถในการลงทุนของเรา ระยะยาวที่หมายถึงนี้คือตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป การอดทนและถือหุ้นตัวแรกของเราให้นานพอคือสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ว่าระหว่างทางนั้นเป็นอย่างไรและติดตามบริษัทที่เราลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเวลาผ่านไปเราจะเริ่มมีความมั่นใจในการคัดกรองและวิเคราะห์มากขึ้น เราสามารถเพิ่มขอบข่ายความรู้ของเราได้ เราสามารถลงทุนในธุรกิจอื่นๆเพิ่มเติมได้เมื่อเรามีความมั่นใจมากขึ้น


**สนใจลงทุนในพอร์ต Best of Risk-Adjusted Return พอร์ตกองทุนโดย Investdiary ที่เน้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้นและอสังหาฯ สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่แบนเนอร์ข้างล่าง หรือลิ้งก์นี้เลย https://www.finnomena.com/port/investdiary/