ไม้ขีดไฟ แสงสว่างที่มืดมน

ไม้ขีดไฟพระยานาค น่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของไม้ขีดไฟ

แต่..

เด็กรุ่นลูกเรา อาจจะไม่รู้จักคำว่า “ไม้ขีดไฟ”

ไม้ขีดไฟถูกนำเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกโดยบาทหลวงในยุคของรัชกาลที่ 4 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของสวีเดน หรือ ญี่ปุ่น

จนกระทั่งถึงยุคของรัชกาลที่ 7 คนไทยจึงเริ่มมีโรงงานผลิตไม้ขีดไฟเป็นของตนเอง

เดิมที บริษัทถูกก่อตั้งครั้งแรกในปี 2473 ในชื่อบริษัท สยามแมตซ์ แฟ็กตอรี่ จำกัด ผลิตตราธงไตรรงค์ ตราพระยานาค ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท ไม้ขีดไฟไทย จำกัด ในปี พ.ศ.2483 จนกระทั่งปี 2525 บริษัท ไม้ขีดไฟไทย ได้เริ่มนำเข้าเครื่องจักรผลิตอัตโนมัติเข้ามาผลิตแทนคน และในปี 2545 ก็เปลี่ยนชื่อจากบริษัท ไม้ขีดไฟไทย จำกัด เป็น บริษัท จีไอเอฟ ไทย แมช จำกัดจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันถือได้ว่าบริษัทไม่มีคู่แข่งโดยตรง เนื่องจากเป็นผู้ผลิตไม้ขีดไฟรายหลักเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทย

อย่างไรก็ตามคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของบริษัทตอนนี้คงไม่ใช่ไม้ขีดไฟเจ้าอื่นแต่มันคือ “ไฟแช็ค”

ในยุคที่ไฟแช็คเป็นอุปกรณ์ในการจุดไฟที่สะดวก พกพาง่ายมากกว่า ทำให้ไม้ขีดไฟไม่เป็นที่นิยมที่จะพกไว้ใช้งาน ซึ่งตลาดที่สำคัญของไม้ขีดไฟในประเทศไทยคือกลุ่มชาวพุทธที่ยังคงนิยมใช้อย่างแพร่หลายเช่นตามวัดวาอารามต่างๆ ในการประกอบพิธีทางศาสนา รองลงมาคือกลุ่มร้านอาหารและโรงแรมบางที่ ซึ่งกลุ่มหลังส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้าเสนอมา

นอกจากนี้บริษัทยังพยายามขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับโมเดิร์นเทรดต่างๆซึ่งปัจจุบันไม้ขีดไฟเจ้าดังนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไปเช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น, แม็คโคร, โลตัส, บิ๊กซี เป็นต้น แต่นั่นก็เป็นดาบสองคมเนื่องจากเมื่อบริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายมากขึ้น บริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน

แล้วบริษัทไม้ขีดไฟนี้ทำรายได้เท่าไหร่?
ปี 2555 รายได้รวม 74 ล้านบาท เป็นกำไร 5.5 ล้านบาท
ปี 2556 รายได้รวม 62 ล้านบาท ขาดทุน 7.7 แสนบาท
ปี 2557 รายได้รวม 56 ล้านบาท ขาดทุน 1 แสนบาท
ปี 2558 รายได้รวม 52 ล้านบาท ขาดทุน 9 แสนบาท

(ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ )

จะเห็นว่านอกจากรายได้ที่ลดลงทุกปีแล้ว บริษัทยังมีปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องอีกด้วย

ปัจจัยหลักๆนั้นคาดว่าเกิดมาจากต้นทุนการผลิตที่สูง พูดให้เห็นภาพง่ายๆคือ ทุกๆรายได้ 100 บาทของบริษัทจะต้องหมดไปกับต้นทุนการผลิตประมาณ 75 บาท และเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆประมาณ 23 บาทเลยทีเดียว

จะให้บริษัทขึ้นราคาสินค้าก็คงขึ้นได้ไม่มาก แม้ว่าบริษัทจะผูกขาดตลาดไม้ขีดไฟในประเทศก็ตาม

เพราะว่าถ้าจะให้ไม้ขีดไฟขายแพงกว่าไฟแช็ค ก็คงไม่มีใครซื้อ..

ที่มาบทความ : http://longtunman.com/1948