
บทความนี้ จะขอพูดถึงบทบาทของ ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ซานาเอะ ทาคาอิชิ ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของญี่ปุ่นในจังหวะถัดไป
ขอเริ่มจากภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปัจจุบันก่อน
ในภาพรวม เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาได้ระดับหนึ่ง ทว่ายังมีจุดอ่อนในบางจุดให้เห็น
เริ่มจากภาคธุรกิจ หากพิจารณาจากผลสำรวจ Tankan Survey จะพบว่าหลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นสามารถเจรจาตกลงกับญี่ปุ่นจนสามารถลด Tariff rate ลงมาเหลือ 15% ผลสำรวจดีขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ไม่ใช่ภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นจนมีคะแนนการประเมินดีที่สุดในรอบกว่า 10 ปี ในขณะที่กลุ่มภาคอุตสาหกรรม สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ คะแนนก็ถือว่าอยู่ในระดับดีค่อนข้างมาก ส่วนกลุ่มภาคอุตสาหกรรม สำหรับบริษัทขนาดเล็ก ผลสำรวจออกมาถือว่ายังไม่ดีมาก แม้ว่าจะไม่ถึงขนาดเลวร้ายก็ตาม
ด้านคาดการณ์ผลกำไรของบริษัท สถานการณ์ก็ถือว่ามีความคล้ายคลึงกัน โดยในกลุ่มภาคอุตสาหกรรมของบริษัทขนาดใหญ่ คาดการณ์ผลกำไรของบริษัทยังถือว่าอยู่ในเชิงลบอยู่ค่อนข้างมาก
สำหรับภาคส่งออก จะพบว่าจากต้นปีจนถึงกลางปีนี้ แนวโน้มค่อนข้างทรงๆตัว โดยในไตรมาสแรก มูลค่าส่งออกพุ่งขึ้นเพื่อรีบให้ทันก่อน US Tariff จะขึ้นมา จากนั้นจึงทรง ๆ ตัวและลดลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดรถยนต์
ด้านการลงทุนภาคเอกชน พบว่ายังคงขึ้นมาแบบช้า ๆ โดยมองจากมุมมองในระยะปานกลางและระยะยาว การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเพื่อชดเชยการขาดแคลนแรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพจากการลงทุน
หันมาพิจารณาภาคครัวเรือน จะพบว่าแม้การบริโภคสินค้าไม่คงทน อย่างเสื้อผ้าและอาหารจะมีแนวโน้มลดลง สะท้อนถึงความประหยัดเนื่องจากราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น มูลค่าการบริโภคของภาคครัวเรือนยังถือว่าเติบโตได้เล็กน้อยจากภาคบริการเนื่องจากสถานการณ์ด้านค่าจ้างและรายได้ที่ดูดีขึ้น
จากการเจรจาระดับค่าจ้างระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่าค่าจ้างเงินสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบนัสสามารถมีระดับที่สูงขึ้นมากใน 1-2 ปีนี้ จากผลกำไรของบริษัทในครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ด้านจำนวนลูกจ้างก็เติบโตได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีแรงงานขาดแคลน จึงทำให้มูลค่ารวมของค่าจ้างอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก อย่างไรก็ดี US Tariff ที่เกิดขึ้น อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงในปีนี้ กระนั้นก็ดี ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าจ้างและการจ้างในปีนี้ จนถึงตรงนี้แต่อย่างใด
หากมองไปข้างหน้า แม้ว่าการบริโภคคาดว่าน่าจะสามารถฟื้นตัวได้จากสถานการณ์ค่าจ้างและการจ้างที่ดีขึ้น อัตราการเติบโตเศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวชั่วคราว จากการที่เศรษฐกิจในต่างประเทศชะลอตัวภายใต้ความกดดันจากนโยบายภาษีสหรัฐ ส่งผลกดดันต่อการส่งออกและการลงทุนของญี่ปุ่น ก่อนที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะดีขึ้นหลังจากที่ปรับตัวได้หลังจากนี้
สำหรับสถานการณ์ด้านเงินเฟ้อ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบ Core ที่ไม่รวมอาหารสดและพลังงานในเดือนสิงหาคม จะเท่ากับ 3.3% และแบบที่ไม่รวมอาหารสด จะเท่ากับ 2.7% อย่างไรก็ดี หากไม่รวมอาหารทั้งหมดและพลังงาน อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคมจะเหลือไม่ถึง 2% ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมาย
ตรงนี้ มีโอกาสที่จะทำให้บีโอเจไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายเดือนนี้ได้ แม้ว่าผู้ว่าฯ คาซึโอ อูเอดะ มีท่าทีอยากจะขึ้นดอกเบี้ยก็ตามที
หันมาพิจารณา ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ซานาเอะ ทาคาอิชิ วัย 64 ปีกันบ้าง ต้องยอมรับว่าเธอคือ โคนนิ่งของอดีตนายกฯ ชินโซะ อาเบ้ เจ้าของต้นตำรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Abenomics อันลือลั่น ระหว่างปี 2012-2020 ซึ่งประกอบด้วยลูกศร 3 ดอก ได้แก่
นโยบายการเงินแบบ QQE ซึ่งต่างจากของสหรัฐ ตรงที่มีฝั่ง Qualitative หรือมาตรการเชิงคุณภาพ ซึ่งก็คือการซื้อ ETF ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเติมเข้าไปด้วย, นโยบายการคลัง ที่เน้นการขาดดุลงบการคลังรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดทุน อาทิ เน้นธรรมาภิบาลของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นให้เน้นความโปร่งใส, เน้นจ่ายปันผล และเน้นการทำให้อัตราผลกำไรต่อทุนมีระดับที่สูงขึ้นกว่าในอดีต
ว่ากันว่า การหลุดจาก Lost Decade ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 ครึ่งหนึ่งของความสำเร็จต้องยกให้ Abenomics ในส่วนของการดึงให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ออกจากสภาวะถดถอยได้สำเร็จ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากผลงานของผู้ว่าบีโอเจ คาซึโอ อูเอดะ ผนวกกับโชคดีจากช่วงโควิดมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบบาซูก้าที่สามารถดึงให้ญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืดได้สำเร็จ
โดย ทาคาอิชิ น่าจะนำมาตรการ Abenomics มาปัดฝุ่นใหม่ โดยลูกศรนโยบายการเงินอาจจะต้องลดความ dove หรือเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจลงจากในเวอร์ชันแรก ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น ค่าเงินเยนอ่อนลง และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรญี่ปุ่นระยะสั้นลดลง เนื่องจาก
หนึ่ง การที่น่าจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของบีโอเจออกไปเป็นสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นจะมีระดับที่เกินเป้าหมายอย่างชัดเจน ตรงนี้ ทำให้ยิลด์พันธบัตรญี่ปุ่นระยะสั้นลดลงรวมถึงความชันของเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ค่าเงินเยนอ่อนลง และตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซกเตอร์อุตสาหกรรมในประเทศพุ่งสูงขึ้น
สอง การทำงบการคลังให้ติดลบมากกว่ารัฐบาลชุดก่อน โดย ทาคาอิชิ มองว่าหนี้ภาครัฐที่ก่อขึ้นมามากขึ้นนั้น ไม่ได้ส่งผลต่อความเสี่ยงด้านการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นหนี้ในประเทศและเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นแบบถาวรและอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลดีตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซกเตอร์อุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเพื่อในประเทศ อาทิ การทหาร พลังงานสีเขียว และไอทีขั้นสูง
สาม นโยบายการปรับโครงสร้างจะช่วยให้เกิดพลวัตด้านเทคโนโลยีและความคึกคักของตลาดทุนและตลาดเงินมากขึ้นกว่าเดิม
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com