เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศดาวรุ่งที่เติบโตโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้แต่การท่องเที่ยวที่เริ่มกลายเป็นอีกหนึ่งจุดขายของเวียดนาม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเวียดนามถึงกลายเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนและโอกาสการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย

ด้วยเสน่ห์ของตลาดเวียดนามที่นับวันยิ่งน่าจับตา บลน. ฟินโนมีนา และ บลจ.พรินซิเพิล ได้จัดงานสัมมนา Unlocking Opportunities: Investing in Vietnam Stock Market เพื่ออัปเดตมุมมองการลงทุนในตลาดดาวรุ่งแห่งเอเชีย ในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนวีไอชั้นนำของไทย ร่วมให้สัมภาษณ์ในงานสัมมนาครั้งนี้ เกี่ยวกับโอกาสการลงทุนระยะยาวในเวียดนาม พร้อมด้วย บลจ.พรินซิเพิล ที่ได้มาแชร์ข้อมูลเชิงลึกจากการทำ Company & Site Visits ที่ประเทศเวียดนาม 

รายละเอียดจะเป็นอย่างไร บทความนี้สรุปมาให้แล้ว

โอกาสการลงทุนในเวียดนามระยะยาว โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ทำไมต้องเป็นเวียดนาม?

สัดส่วนการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ ในปัจจุบัน มีหุ้นไทย 70% และ หุ้นเวียดนาม 30%

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงในครึ่งปีแรก ในช่วงที่หุ้นไทยย่ำแย่ก็มีหุ้นเวียดนามที่คอยชดเชยเป็นเสาหลักพยุงพอร์ต ดร.นิเวศน์ยังเผยว่ามีแนวโน้มว่าจะเพิ่มการลงทุนในเวียดนามมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับเงินปันผลจากตลาดหุ้นไทย ก็อาจจะซื้อหุ้นเวียดนามเพิ่ม 

และในอนาคต สัดส่วนของหุ้นเวียดนามอาจจะแซงหน้าหุ้นไทยที่มีอยู่ก็เป็นได้ เนื่องด้วยในระยะยาวเวียดนามยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก ทั้งในเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ในอาเซียน ทำให้ขนาดเศรษฐกิจเวียดนามอาจจะไล่ตามประเทศไทยทันและแซงหน้าในสักวัน 

นี่คือมุมมองของ ดร.นิเวศน์ ที่เคยลงทุนในหุ้นไทยในช่วงที่รุ่งโรจน์   และคล้ายว่ามันจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับเวียดนาม

4 ปัจจัยที่ทำให้ถนนทุกสายมุ่งสู่เวียดนาม

  1. ตัวเลขการส่งออก

ตั้งแต่เหนือจรดใต้ของเวียดนามนั้นติดทะเล อาชีพประมงนั้นอยู่คู่กับวิถีคนเวียดนามมาอย่างช้านาน เวียดนามมีทรัพยากรสัตว์น้ำที่หลากหลาย และได้ส่งออก ‘กุ้ง’ เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งออกกาแฟอันดับ 2 ของโลก

หรือแม้กระทั่งสินค้าการเกษตรอย่างข้าว ที่ไทยเคยเป็นผู้นำในการส่งออกมากที่สุด ก็ถูกเวียดนามแซงเป็นที่เรียบร้อย ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจคือเวียดนามเป็นฐานผลิตสำคัญบริษัทระดับโลก เช่น Apple และ Samsung จึงมีการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่น้อยเหมือนกัน

  1. ภูมิประเทศ 

ทางเหนือของเวียดนามนั้นติดกับประเทศจีน อีกทั้งยังใกล้กับเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดถือเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชีย และพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเวียดนามติดกับทะเลเปิด เกื้อหนุนการขนส่งเดินเรือ รวมถึงการสร้างท่าเรือน้ำลึก

  1. ทรัพยากรมนุษย์

ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เวียดนามเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ประเทศเวียดนามมีประชากรทั้งหมด 100 ล้านคน อายุเฉลี่ยประมาณ 30 ปี ซึ่งเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่พร้อมสำหรับการทำงานได้อีกเป็นสิบ ๆ ปี อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง FPT University ด้วย ก่อตั้งโดยบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม

ภาพจาก archdaily.com | ณ วันที่ 14/07/2566

FPT University ผลิตเด็กจบใหม่ โดยเน้นสอนเกี่ยวกับ IT การเขียนโปรแกรม ตอบโจทย์สายงานเทคโนโลยีที่เป็นที่ต้องการของโลก โดย FPT มีบริษัทชั้นนำที่เป็นลูกค้าอยู่ทั่วโลก อย่าง Apple ก็ถือเป็นคู่ค้าของทาง FPT เช่นเดียวกัน

เมืองไทยคือที่อยู่ แต่ถ้ามอง Growth ต้องไปเวียดนาม

  1. ตัวเลขการลงทุน

หากพลิกดูป้ายเสื้อ ป้ายรองเท้าที่ใส่ เราอาจจะเห็นคำว่า ‘Made in Vietnam’ เป็นเครื่องบ่งบอกว่า ตั้งแต่สินค้าอย่างสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงโทรศัพท์มือถืออย่าง Smartphone ทั้งหมดนั้นผลิตและประกอบในเวียดนามทั้งสิ้น เราจะเห็นสินค้าแบรนด์ดังอย่าง Nike, Lego, Adidas, Samsung และอื่น ๆ ต่างก็เลือกที่จะมุ่งสู่เวียดนาม

ในภาคตลาดทุน ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามยังถือว่าเป็น ‘ตลาดชายขอบ’ (Frontier Market) คำจำกัดความง่าย ๆ คือ ตลาดหุ้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีขนาดเล็ก และมีความเสี่ยงสูงกว่า อีกทั้งมีข้อจำกัดในเรื่องของ Foreign Room ซึ่งก็คือการจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ เช่นในหุ้นกลุ่มธนาคาร อาจจะอนุญาตให้ต่างชาติถือได้เพียง 30% เท่านั้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อเวียดนามก้าวขึ้นเป็นตลาดพัฒนาแล้ว (Emerging Market) จะปลดล็อกในเรื่องของ Foreign Room ทำให้ต่างชาติสามารถเข้าซื้อเพิ่มได้ รองรับ Fund Flow จากกองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะจากตะวันตก

อ่านบทความ: 7 สิ่งที่ต้องรู้ ลงทุนเวียดนาม ปี 2023

ความเสี่ยงของเวียดนาม

  • เป็นสังคมนิยม 

เช่น ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน เห็นได้ชัดว่านโยบายของผู้นำในแต่ละช่วงมีอิทธิพลสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน แต่ในทางกลับกันอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตได้ อย่างนโยบายของสี จิ้นผิง ในช่วง Covid-19

  • ค้าขายกับตะวันตก แต่อยู่ใกล้จีน

ความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีนนั้นส่งผลไปทั่วโลก เวียดนามนั้นเน้นที่จะคบค้ากับประเทศตะวันตกเป็นหลัก เห็นได้จากข้อตกลงการค้าเสรีที่มีกับชาติเหล่านี้อย่างครบถ้วน แต่ก็มีพรมแดนที่ติดกับจีน ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาเช่นเดียวกับที่ไต้หวันประสบพบเจออยู่

เปรียบหุ้นไทยกับเวียดนาม ไทยมีเวียดนามก็มี 

AOT กับ ACV

  • AOT : Airport of Thailand Market Cap 1.01 ล้านล้านบาท
  • ACV : Airports Corporation of Vietnam Market Cap 2.5 แสนล้านบาท

 

(ข้อมูลจาก investing.com | ณ วันที่ 22/07/66 โดยคำนวณจาก 1 THB = 687 VND)

ภาพจาก vietrade.gov.vn/  และ  msfsaddons.com/ | ณ วันที่ 14/07/2566

CPN กับ VRE

  • CPN : Central Pattana Market Cap 2.89 แสนล้านบาท
  • VRE : Vincom Retail JSC Market Cap 9.45 หมื่นล้านบาท

 

(ข้อมูลจาก investing.com | ณ วันที่ 22/07/66 โดยคำนวณจาก 1 THB = 687 VND)

ภาพจาก vietnamnet.vn  | ณ วันที่ 14/07/2566

การจัดพอร์ตหุ้นเวียดนาม 2 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ 

  1. พอร์ตหุ้น 100 ตัวที่คัดด้วยกลยุทธ์ Magic Formula
  2. พอร์ตหุ้นหลัก 8 ตัว Super Stock ประกอบด้วยกลุ่มหุ้นในอุตสาหกรรม ดังนี้
    • เทคโนโลยี
    • ค้าปลีก
    • ห้างสรรพสินค้า
    • ท่าอากาศยาน
    • สาธารณูปโภค เช่น โรงไฟฟ้า เขื่อน ทางด่วน
    • โรงพยาบาล เครือร้านขายยา

 

จะเห็นได้ว่า ตัดกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ออก เนื่องจากเห็นตัวอย่างในไทยว่าทั้งสองกลุ่มนี้ไม่ค่อยเติบโตเท่าไรในระยะยาว 

ส่องหุ้นหลัก 8 ตัวใน Core Port ของ ดร. นิเวศน์

  1. VN Diamond ETF
  2. FPT : FPT Corporation บริษัทเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์
  3. MWG : Mobile World Group ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
  4. REE : Refrigeration Electrical Engineering Corp สาธารณูปโภค
  5. ACV : Airport Corporation of Vietnam ท่าอากาศยาน
  6. VRE : Vincom Retail JSC ห้างสรรพสินค้า
  7. NT2 : PetroVietnam Power Nhon Trach 2 JSC โรงไฟฟ้า
  8. VSH : Vinh Son-Song Hinh Hydropower JSC เขื่อนพลังน้ำ

 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามเต็มไปด้วยรายย่อยที่เก็งกำไรเสียเป็นส่วนใหญ่ ชอบหุ้นขนาดเล็กเพราะราคาถูก ง่ายต่อการเก็งกำไร

แต่หากมองดูที่พื้นฐานกิจการในระยะยาวแล้ว เราอาจจะได้เห็นหุ้นที่เป็น Super Stock เติบโตระเบิดในอนาคต รวมถึงหากคนเวียดนามเริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุน อาจมีผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น SSF RMF มีการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่ม รวมทั้งการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบที่ไทยเคยมีมา ทั้งหมดที่กล่าวไปเป็นวิวัฒนาการของประเทศกำลังพัฒนา ที่จำเป็นต้องมี เพื่อตอบสนองความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

หากซื้อและถือลงทุนในระยะยาว เวียดนามยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอีกสิบ ๆ ปี จึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไม ดร.นิเวศน์ ถึงได้มองเวียดนามดีเหลือเกิน

เพราะจากมุมมอง ดร.นิเวศน์ ที่เคยตีแตกหุ้นไทย ดูคล้ายว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำกับหุ้นเวียดนาม

มุมมองตลาดเวียดนามจาก Principal และ FINNOMENA

สถานการณ์ตลาดหุ้นในเวียดนามถือว่าดูดีขึ้นมาก จากที่ในปีก่อนได้มีความตึงเครียดเรื่อง Corporate Bond ที่มีแนวโน้มว่าจะผิดนัดชำระหนี้และมีการจับกุมผู้บริหาร อีกอย่างคือ คาดกันว่า GDP ไตรมาส 2 ของเวียดนามได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนในตลาดหุ้นเวียดนามกว่า 90% กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง

VN Index มีประมาณการกำไรอยู่ที่ 16% หากมาเจาะดูราย Sector จะเห็นได้ว่า หุ้นในกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้างและธนาคารถือว่าเป็นตัวนำดัชนีขึ้นจากปีที่แล้ว แต่บางกลุ่มยัง Underperform เข่น Food & Beverage และ Real Estate 

เวียดนามโดยภาพรวมยังเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทั้งในเรื่องการเติบโตเฉลี่ย 5 ปีหลัง (CAGR) อยู่ที่ 13.3% และ ROE ปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 14% 

สำรวจเวียดนาม จากการทำ Company Visit

  • ภาคการบริโภค ยังคึกคัก แต่ว่าผู้บริโภคเริ่มใช้จ่ายประหยัดมากขึ้น เนื่องจากมีความกังวลเรื่องการจ้างงาน และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิ ดอกเบี้ยบ้าน 
  • ภาคอสังหาฯ กำลังฟื้นตัวจากเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ รวมถึงการจับกุมผู้บริหาร ซึ่งการฟื้นตัวเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างในอสังหาฯ ระดับกลางที่ฟื้นตัวจาก Real Demand ที่มีคนซื้อและอยู่อาศัย รวมทั้งยังมีลมหนุนจากภาครัฐที่ลดดอกเบี้ยไปแล้ว 1.5% ตั้งแต่ต้นปีซึ่งคาดว่าจะลดลงอีกภายในสิ้นปี   
  • การปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากคนเวียดนามนิยมลงทุนอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ อสังหาฯ ทองคำ และหุ้น เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากลดลงจึงมีการโยกเงินจาก Fixed Income ไปยังหุ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกครั้ง
  • บริษัท Technology มีบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี รวมถึงมีมหาวิทยาลัยผลิตเด็กจบใหม่ที่มีความรู้ทางด้าน IT ซึ่งค่าแรงในด้าน IT ของเวียดนามยังถูกกว่าอินเดียอยู่ประมาณ 10-15%

 

อ่านบทความ: อัปเดตมุมมอง ‘กองทุนหุ้นเวียดนาม’ ลุ้นไปต่อได้ไหม?

มุมมองต่อตลาดหุ้นเวียดนาม จาก FINNOMENA Investment Team

  • ปัจจัยมหภาคดูดีขึ้น จากการสนับสนุนนโยบายการคลัง เช่น การลด VAT เพื่อกระตุ้นการบริโภค รวมถึงนโยบายการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ระบบการเงิน
  • แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตดีกว่าคาด จากภาคการบริโภคที่แข็งแกร่ง แม้จะโดนกดดันจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอ ทำให้ภาคการผลิตและส่งออกของเวียดนามยังคงชะลอตัว
  • การปรับประมาณการกำไรอ่อนแอกว่าหุ้นโลก
  • แต่ Valuation อยู่ในระดับถูกมาก (deep value) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อการลงทุนในหุ้นเวียดนาม

 

FINNOMENA Investment Team แนะนำ ทยอยเข้าสะสมหุ้นเวียดนามผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A

ลงทุนในเวียดนาม ผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A

สำหรับกองทุนแนะนำ FINNOMENA Pick ที่คัดเลือกมาแล้วโดย FINNOMENA Investment Team และเป็นกองทุนตามคำแนะนำ MEVT Call ได้แก่ PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า

PRINCIPAL VNEQ-A เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทจดทะเบียนของเวียดนามโดยตรง ใช้กลยุทธ์บริหารจัดการลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกบริษัทที่เชื่อว่ามีศักยภาพการเติบโตในอนาคต จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6

ความพิเศษของ PRINCIPAL VNEQ-A จาก บลจ. พรินซิเพิล ถือเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามเป็นหลักกองทุนแรกในประเทศไทย โดยจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2017 ทำให้มี tracking record มาอย่างยาวนาน ด้วยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ ศึกษารายละเอียดกองทุนเพิ่มเติม คลิกที่นี่

ทรัพย์สินที่ PRINCIPAL VNEQ-A ลงทุน 5 อันดับแรก as of 30 Jun 2023, Source: principal.th

สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/  


อ้างอิง

คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม และประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก  | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

iran-israel-war