การเทรดกองทุนคืออะไร?

พูดถึงการเทรดกองทุนหลายคนอาจจะไม่คุ้น คุ้นกับคำว่าเทรดหุ้นเทรดทองมากกว่า แต่ช่วงที่ผ่านมา FINNOMENA ก็เพิ่งมีการทำ Tactical Call เพื่อ “เทรดกองทุน” ทำกำไรระยะสั้นไป เช่น ตอนที่เราเห็นโอกาสในหุ้นเทคฯสหรัฐ จึงแนะนำให้เข้าซื้อ (รายละเอียดตามบทความนี้) ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. 63 และมีการแนะนำให้ออกในวันที่ 7 ก.ค. 63 (รายละเอียดตามบทความนี้) ทำกำไรได้ประมาณ 16-24% และก็เพิ่งมีการทำ Tactical Call อีกครั้งเมื่อเราเห็นโอกาสในหุ้นจีน (รายละเอียดตามบทความนี้) ที่แนะนำให้เข้าซื้อไปเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 63

ถามว่า Tactical Call แตกต่างยังไงกับแผนการลงทุนต่างๆของ FINNOMENA? Tactical Call เป็นเหมือนการ “เทรดกองทุน” เป็นการจับจังหวะทำกำไรระยะสั้น เข้าไวออกไว ระยะเวลา 3-6 เดือน จะต่างจากแผนการลงทุนต่างๆ ของ FINNOMENA ที่เน้นสร้างผลตอบแทนในระยะยาว คือมองภาพที่ไกลกว่า

พอเป็นเรื่องของการเทรดก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนระยะยาวเพราะมองสถานการณ์ในกรอบเวลาที่สั้นกว่ามาก นักลงทุนที่ต้องการจะ Tactical Call ต้องสามารถรับความเสี่ยงได้ เน้นการซื้อเป็นไม้ย่อยๆ ไม่ลงทั้งพอร์ต ที่สำคัญคือ ต้องมีวินัยในการ Stop Loss เมื่อตลาดไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด

ทีนี้สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะเทรดกองทุน มีคำแนะนำอะไรบ้างที่จะช่วยให้เรามี Mindset ที่ดีในการเทรดทำกำไร ไม่ถูกความผันผวนเล่นงาน ไม่ถูกการขาดทุนทำร้ายจิตใจ พลาดไม่ได้ครับกับหนังสือเล่มนี้ Trading in the Zone เขียนโดย Mark Douglas

Trading in the Zone หนึ่งในหนังสือขึ้นหิ้งที่นักลงทุนควรอ่าน

หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้าง “โซน” หรือสภาพจิตใจที่ดีที่สุดที่เหมาะกับการเทรด ที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ไม่หลงไปกับความกลัวและความโลภจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาดไปหมด เป็นหนังสือที่สร้างรากฐานในการพัฒนาการเทรดที่ดีมากๆ เล่มหนึ่ง

ผู้เขียน Mark Douglas มีประสบการณ์ทำงานเป็นโค้ชให้กับเทรดเดอร์เป็นหลายสิบปีตั้งแต่ปี 1982 ซึ่งหนังสือ Trading in the Zone ถูกเขียนออกมาในปี 2000 กลั่นจากประสบการณ์ของ Mark Douglas ที่ได้พบเห็นจากการโค้ชเทรดเดอร์เป็นพันๆ คน Mindset อะไรที่ช่วยปลดล็อคให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จในการเทรดได้ ถูกนำเสนอไว้แล้วในหนังสือเล่มนี้

ในหนังสือ Mark Douglas ไม่ได้เจาะจงว่าเนื้อหาใช้ได้เฉพาะสำหรับการเทรดหุ้นเท่านั้น แต่มันคือการเทรดทุกอย่าง อะไรที่เป็นเกมของความน่าจะเป็น มีโอกาสกำไรบ้างขาดทุนบ้าง สามารถนำหลักการในหนังสือเล่มนี้ไปใช้ได้ทั้งหมด และนี่คือหลักการ 5 ข้อจากหนังสือเล่มนี้ที่สามารถประยุกต์ใช้กับการเทรดกองทุน หรือการเข้าลงทุนตาม Tactical Call จาก FINNOMENA ได้ครับ

ความจริงพื้นฐาน 5 ข้อในการเทรด

ถ้าเราปรับจูน Mindset ของเราให้เป็นไปตามนี้ได้ เราจะมีสภาพจิตใจที่พร้อมเทรดในตลาด และสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอได้ ท่ามกลางตลาดที่ไม่มีความไม่แน่นอนอะไรเลย

1. อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาด

ข้อแรกเราควรตระหนักไว้อยู่เสมอว่าในตลาดจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ มันจะขึ้นหรือจะลงยังไงก็ได้ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่กำลังเล่นอยู่ในตลาด (ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล) จะผลักตลาดไปทางไหน

นั่นหมายความว่า ถ้าเรากำลังมั่นใจในกลยุทธ์ของเรา ว่าวิเคราะห์แบบนี้ ตลาดต้องไปทางนั้นแน่นอน มันไม่มีทางไปสวนทางกับเราได้ เรากำลังมีทัศนคติที่จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองภายหลังครับ เพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครคาดเดาตลาดได้ถูกทุกครั้ง มันมีตัวแปรมากเกินไปในการจะวิเคราะห์ได้ถูกต้องทุกครั้ง อย่างนักลงทุนที่เก่งๆ เค้าก็ไม่ได้ถูกเสมอไป มีถูกบ้างมีผิดบ้าง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่เก่งหรือไม่ความรู้ไม่พอ แต่มันเป็นธรรมชาติของตลาดอยู่แล้วที่เป็นแบบนี้

แล้วเราจะสร้างผลตอบแทนได้ยังไง ในเมื่อไม่มีใครคาดเดาตลาดได้ ต้องไปดูทัศนคติในข้อต่อไปครับ

2. เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ในการสร้างกำไร

ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว การคาดการณ์ตลาดให้ถูกแบบ 100% เป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการที่จะทำกำไรได้

ในการออกแบบกลยุทธ์การเทรด มี 2 ตัวแปรที่พูดถึงกันบ่อยๆ คือ Win Rate และ Reward:Risk Ratio (RRR) ตัวแปรแรก Win Rate คือกลยุทธ์เรามีโอกาสถูกทางกี่เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ 100 ครั้งทายถูกกี่ครั้ง ตัวแปรอีกตัว Reward:Risk Ratio คือ อัตราส่วนระหว่างเงินที่เราจะได้ตอนถูกทางกับเทียบกับเงินที่เราจะเสียตอนผิดทาง

ตามทฤษฎี กลยุทธ์ที่จะสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอมีอยู่ 3 แบบ แบบแรกถ้ากลยุทธ์เราเวลาผิดเสียเงินเยอะ แต่เวลาถูกได้นิดเดียว (RRR ต่ำ) กลยุทธ์เราต้องทายถูกบ่อยๆถึงจะได้กำไร (Win Rate สูง) แบบที่สองถ้ากลยุทธ์เราทายผิดบ่อย (Win Rate ต่ำ) เวลาทายถูกทีนึงต้องได้ให้เยอะ แล้วเวลาทายผิดต้องเสียให้น้อย (RRR สูง) ถึงจะได้กำไร ส่วนแบบที่สามซึ่งเป็นแบบที่ดีที่สุด คือสูงทั้ง RRR และ Win Rate ถ้าใครออกแบบกลยุทธ์ตามแบบที่ 3 ได้รับรองรวยเละเทะ

พอเราเปลี่ยนเกมการเทรดให้เป็นเกมของความน่าจะเป็น เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าครั้งนี้เราจะทายถูกหรือทายผิด ถ้าเราสร้างกลยุทธ์ที่มีความน่าจะเป็นที่จะสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ แล้วเล่นไปตามกลยุทธ์นั้นอย่างมีวินัย ระยะยาวยังไงเราก็ได้กำไรแน่นอน

3. มันมีการสุ่มของลำดับการแพ้ชนะในกลยุทธ์การลงทุนใดๆ ก็ตาม

สำหรับข้อนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆคือ ถ้าเราโยนเหรียญทายหัวก้อย โยนไปแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง ปรากฏว่าออกหัวทั้งหมด ถามว่าโยนครั้งถัดไปโอกาสที่จะออกก้อยเยอะกว่าออกหัวหรือไม่? มันดูเหมือนว่ามันออกหัวไป 5 ครั้งแล้ว ครั้งต่อไปควรจะออกก้อยบ้างใช่มั้ยครับ แต่ความจริงคือโยนครั้งถัดไปโอกาสออกหัวก้อยก็ 50/50 อยู่ดี

ในการลงทุนก็เช่นกัน อย่าให้การขาดทุนติดๆกันหรือได้กำไรติดๆกันมาทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน เพราะกลยุทธ์การลงทุนที่ดีต้องดูที่ระยะยาวได้กำไรรึเปล่า ไม่ได้ดูแค่ว่ามีการได้กำไรติดๆกันหรือไม่

4. กลยุทธ์การลงทุนเป็นแค่ความน่าจะเป็นที่บอกว่าสิ่งหนึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง

จากความเห็นส่วนตัว ข้อนี้ผมมองว่าสำคัญที่สุดในบรรดา Mindset ครับ สังเกตนักลงทุนระดับโลกไม่มีใครการันตี 100% ว่าลงทุนไปแล้วจะได้กำไร สิ่งที่นักลงทุนที่เก่งๆทำคือ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆอย่างถี่ถ้วนตามความถนัดของตัวเอง และวางแผนอย่างรัดกุมว่าถ้าเกิดผิดทางแล้วต้องแก้เกมยังไง

เนื่องจากอะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาด ไม่มีกลยุทธ์ไหนที่จะมี Win Rate 100% ทุกกลยุทธ์การลงทุนจะมี Win Rate อยู่ค่าหนึ่งอยู่เสมอ (ซึ่งไม่สามารถคำนวณออกมาได้จริงๆ เป็นเพียงการคำนวณทางสถิติ) เป็นค่าความน่าจะเป็นที่บอกว่ามีโอกาสที่เราจะถูกมากกว่าโอกาสที่จะผิดมากน้อยแค่ไหน

ถ้าอย่างนั้นการศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุนก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ เพราะมีความรู้มากแค่ไหนก็มีโอกาสผิดอยู่ดี? ถ้ามองจาก Mindset ในข้อนี้ การศึกษาเรื่องการลงทุนต่อให้ลึกซึ้งแค่ไหนก็มีโอกาสพลาดอยู่ดี แต่ยิ่งเรามีความรู้มากแค่ไหน ความน่าจะเป็นที่เราจะคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างถูกต้องก็จะมากตามไปด้วย ซึ่งก็หมายถึงโอกาสสร้างผลกำไรที่มากขึ้นนั่นเอง ความรู้ = เพิ่มโอกาสที่จะชนะในตลาด

5. สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดขณะนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับในอดีต

ความจริงพื้นฐานข้อสุดท้ายในหนังสือ Trading in the Zone บอกว่า ประวัติศาสตร์ไม่มีทางซ้ำรอยกันได้จริงๆ ถ้าจะให้การเคลื่อนไหวของตลาดซ้ำรอยเดิมจริงๆ เราต้องเชิญให้นักลงทุนในอดีตทุกคนมารวมตัวกันและตอบสนองแบบเดียวกับที่เคยทำในอดีตทุกประการ เราถึงจะได้ตลาดที่ซ้ำรอยอดีต ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้

ในเมื่อตลาดแต่ละขณะเป็นสิ่งที่เฉพาะตัว ไม่ซ้ำในอดีต ทำให้เราไม่สามารถเดาตลาดได้ 100% เพราะทุกอย่างเป็นข้อมูลใหม่ สิ่งที่เราทำได้คือ การนำความรู้และข้อมูลในอดีตมาออกแบบกลยุทธ์ที่มีโอกาสชนะสูง ซึ่งจะทำให้เราทำกำไรได้ในเกมของความน่าจะเป็น

สรุปวิธีนำมาใช้กับการเทรดกองทุน

หลักการทั้ง 5 ข้อที่พูดถึง เนื้อหาจะค่อนข้างออกไปในทางปรัชญาหน่อยๆ การสละความโลภความกลัวและให้ความสนใจกับเกมของความน่าจะเป็น เป็นเรื่องที่พูดตามทฤษฎีง่าย แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยากทีเดียว นักลงทุนที่สนใจหัอข้อนี้และอยากศึกษาเพิ่มเติมก็สามารถหาหนังสือมาอ่านแบบเต็มๆได้ครับ

สำหรับวิธีนำมาประยุกต์กับการเทรดกองทุน หรือการเข้า Tactical Call จาก FINNOMENA ผมขอสรุปไว้ 3 ข้อด้วยกัน คือ

  1. ไม่มีกลยุทธ์อะไรที่การันตีว่าจะได้กำไร 100% แต่ถ้าเป็นกลยุทธ์ที่ผ่านการวิเคราะห์ออกแบบแผนการมาอย่างดีแล้ว โอกาสกำไรจะมีมากกว่าโอกาสขาดทุนแน่นอน
  2. มี Stop Loss หรือจุดที่จะออกเสมอ การไม่มี Stop Loss แสดงว่าเรากำลังคาดเดาตลาดให้เป็นไปแบบที่เราคิด ซึ่งความจริงเราไม่มีทางควบคุมตลาดได้ การไม่มี Stop Loss หรือไม่มีจุดออกเป็นเรื่องอันตรายในการเทรดระยะสั้น
  3. Take Profit ให้มากกว่า Stop Loss ข้อนี้คือการลงทุนให้คุ้มเสี่ยง การลงทุนคือเรากำลังเอาเงินของเราไปเสี่ยง เพราะฉะนั้นเวลาถูกทางต้อง Take Profit ให้เยอะ เวลาผิดทางต้อง Stop Loss เสียให้น้อย (การลงทุนที่ไม่ใช่ Day Trade ควร Take Profit ให้มากกว่า Stop Loss เสมอ)

สำหรับนักลงทุนที่รักในการเทรดกองทุนก็อย่าลืมติดตาม Tactical Call จาก FINNOMENA นะครับ ล่าสุดคือการจับจังหวะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีน สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่บทความ Tactical Call : ตลาดหุ้นจีนถูกจุดพลุ จังหวะ Follow Buy ระยะสั้นเกิดขึ้น

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ

เขียนโดย TUM SUPHAKORN


เคยไหม? รู้สึกสะดวกกับการใช้บริการธนาคารเพื่อซื้อกองทุน แถมได้เอกสิทธิ์พิเศษ แต่มักได้รับการแนะนำผลิตภัณท์ที่ไม่ตรงกับความต้องการ

เราขอนำเสนอ FINNOMENA แพลตฟอร์มที่จะแนะนำกองทุนที่ตรงกับความต้องการของคุณจริง ๆ

เปิดบัญชีลงทุนออนไลน์ ซื้อกองทุนได้เร็วสุดภายในวันทำการถัดมา ลองเลย! https://finno.me/oa1327

iran-israel-war