สถิติบอกว่า .. ถึงปธน.ทรัมป์จะทวีตขู่อีก ตลาดหุ้นก็อาจไม่ผันผวนมากไปกว่าเดิม

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมนั่งเล่นทวิตเตอร์แล้วเจอรูปรูปหนึ่งที่ชาวเน็ตนำมาตัดต่อ พอเห็นปั๊บก็อดยิ้มไม่ได้

รูปนั้นคือรูปที่ปธน.ทรัมป์ชูเอกสารลงนามใน Executive Order แต่ในเอกสาร กลับเป็นข้อความเขียนแปลเป็นภาษาไทยว่า

“ให้คุณเก่งการวิเคราะห์ด้วยกราฟมากแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไรถ้าเจอผมทวีต”

ใช่ครับ ความผันผวนของตลาดหุ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า จะเป็นเพราะทวิตของปธน.ทรัมป์อยู่หลายรอบทีเดียว จนนักลงทุนหลายคนให้ความเห็นแบบติดตลกว่า ใครก็ได้ช่วยเป็นแอคเค้าท์ของท่านผู้นำที

ผมลองพากลับไปดูทวิตครั้งสำคัญๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มกลับมามีแรงเทขายในปีนี้กันดูสักหน่อย เราจะเห็นภาพมากขึ้นนะครับ

ครั้งแรกของปี 2019 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ปธน.ทรัมป์ ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า ตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ จะเพิ่มการจัดเก็บภาษีสินค้าเทคโนโลยีจากจีนในอัตรา 10% เป็น 25% ในวันศุกร์นี้  ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่มีมูลค่าประมาณ 325,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถูกเก็บภาษี สหรัฐฯ ก็จะเริ่มจัดเก็บในอัตรา 25% เช่นเดียวกันครั้งนั้น ทำให้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ผันผวนในวันทำการถัดมา -2.4% ขณะที่ดัชนี CSI300 ของประเทศจีนผันผวนมากถึง -6% ภายในวันเดียว

ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ปธน. ระบุ จะกลับมาเจรจากกับจีนอีกครั้ง นั่นเท่ากับ จะไม่มีการตั้งกำแพงเพิ่มเติมหลังจากนี้ ซึ่งทำให้ตลาดดูเหมือนจะคลายความกังวลไปได้มาก โดยดัชนี S&P500 ผันผวนในวันทำการถัดมา +2.8% ขณะที่ดัชนี CSI300 ผันผวนมากถึง +2.9% ใกล้เคียงกับดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ

มาครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ 1 ส.ค. ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความว่า การจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะใช้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์นำเข้าจากจีนที่เหลือซึ่งไม่ได้ถูกตั้งกำแพงภาษีก่อนหน้านี้ และยังบอกว่าจีนไม่รักษาสัญญาที่ว่าจะซื้อสินค้าทางการเกษตรจากสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมกันนั้น ปธน.ยังประกาศตั้งกำแพงภาษี 10% กับสินค้าจากจีนชุดใหม่มูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 9.26 ล้านล้านบาท) โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นไป ซึ่งผ่านไปแล้ว ซึ่งครั้งนั้น ก็ทำให้นักลงทุนปวดขมับกันเป็นแถวๆ ทั้งๆ ที่บรรยากาศการเจรจาดูเหมือนจะชื่นมื่น ราบรื่นด้วยดีก็ตาม และผลก็คือ ทำให้ดัชนี S&P500 ผันผวนในวันทำการถัดมา -0.7% ขณะที่ดัชนี CSI300 ผันผวน -2.1% ภายในวันเดียว

ขณะที่ครั้งที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ตอนนั้นปธน.ทวีตอีกรอบว่า ต้องการตอบโต้จีนด้วยการปรับเพิ่มเพดานภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในปัจจุบันอีก 5% ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่จีนแถลงรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รอบใหม่ ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่นาน ทางการจีน มีการแถลงว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสูงสุด 10% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ การทวีตรอบนี้ ทำให้ดัชนี S&P500 ผันผวนในวันสูงถึง -2.5% ขณะที่กลับมามองที่ตลาดจีน ดัชนี CSI300 กลับไม่ตกใจอะไรลบไปเพียง -0.14% เท่านั้น

สิ่งนี้บอกอะไรเรา?

หากสังเกตตัวเลขความผันผวนของตลาดหลังจากการทวีตของปธน.ทรัมป์ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนทิศทางนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือใน 4 ครั้งที่ผ่านมา จะพบว่า สำหรับตลาดหุ้นจีนนั้น กลายเป็นว่า ทุกครั้งที่ทวีตสวนทางการดำเนินนโยบาย กลับกลายเป็นว่า ตลาดหุ้นผันผวนลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ไม่เคยมีวันไหนลบหนักๆ มากกว่า 2.5% ไม่เหมือนปี 2018 ที่เทรดกันยังกับรถไฟเหาะ

ด้วยเหตุนี้ จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า ข้อความทวีตของปธน.ทรัมป์ หลังจากนี้ ถึงแม้จะมีการกลับทิศไปมาอีกหลายรอบ แต่เหมือนว่านักลงทุนในตลาดจะเริ่มปรับตัว และรับมือกับทวิตเตอร์ของท่านผู้นำสหรัฐฯ ได้แล้ว

คำถามคือ แล้วแบบนี้ ตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะจีน (อาจจะรวมถึงหุ้นไทย) จะสามารถกลับมาวิ่งได้หรือไม่?

ความเห็นส่วนตัวมองว่า ตลาดจะกลับมาคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังจากประเทศต่างๆ มากขึ้น สนใจทวีตข้อความของปธน.ทรัมป์น้อยลง ซึ่งมันไม่ได้แปลว่า ตลาดจะวิ่งหลังจากนี้นะครับ แค่จะบอกว่า ปัจจัยมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่าไปให้ความสำคัญมากจนเกินไปครับ

Mr.Messenger

ที่มาบทความ: http://inews.bangkokbiznews.com/read/381005

iran-israel-war