ตลาดหุ้นฮ่องกงกำลังกลายเป็นตัวแทนของบริษัทจีน

รอยร้าวของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน 2 ขั้วมหาอำนาจโลก ได้ถึงจุดแตกหักจนไม่อาจหวนกลับมาสักพักแล้ว

เราอาจคุ้นภาพในอดีตที่จีนแบนสหรัฐฯ มาในวันนี้ฝั่งสหรัฐฯ บีบให้บริษัทของจีนทำธุรกิจยากขึ้น จนมาถึงประเด็นที่สหรัฐฯ เตรียมแบนไม่ให้บริษัทสัญชาติจีนเข้าระดมทุน (IPO) ในตลาดหุ้นของตัวเอง

ปัจจุบันตลาดหุ้น New York Stock Exchange และ Nasdaq เปรียบเสมือนศูนย์กลางการระดมทุนโลก การตัดไม่ให้บริษัทจีนเข้าจดทะเบียน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความก้าวหน้าในอนาคต

แต่จีนแก้ปัญหาได้ตรงจุด เลือกฮ่องกงเป็นฐานการระดมทุนหลัก ไม่ต้องง้อสหรัฐฯ อีกต่อไป !

ตั้งแต่ปี 2014 บริษัทยักษ์ใหญ่ e-Commerce ของจีนอย่าง Alibaba และ JD เลือกตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นที่ IPO ในครั้งแรก แต่ความขัดแย้งระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจตะวันตก-ตะวันออก และการที่ทรัมป์ข่มขู่จะถอดถอนบริษัทจีนที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้ Alibaba, JD และบริษัทจีนอีกหลายแห่งไม่มีทางเลือก ต้องหาตลาดหุ้นเข้าจดทะเบียนสำรองไว้ก่อน

ซึ่งตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ยังติดกฎเกณฑ์มากเกินไปไม่เหมาะกับบริษัทใหญ่ที่จะเข้าจดทะเบียน ดังนั้นฮ่องกงจึงกลายเป็นตัวเลือกหลักแทน

เหตุการณ์นี้หนุนให้ปีที่แล้วตลาดหุ้นฮ่องกงกลายเป็นสถานที่ที่มีบริษัทเข้ามาทำ IPO มูลค่ารวมสูงสุดในโลก ราว 1.3 ล้านล้านบาท

ขณะที่ปีนี้ฮ่องกงยังคงเนื้อหอม มีบริษัทจีนเข้า IPO อีกเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น JD หรือ NetEase (บริษัทสร้างเกมส์) รวมถึงกรณีของ Ant Group บริษัทในเครือ Alibaba และเจ้าของระบบจ่ายเงิน Alipay ที่ประกาศเตรียมทำ IPO ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ทางด้านบริษัท ByteDance (เจ้าของแอพ TikTok) ก็มีแผนเข้า IPO ในฮ่องกงเร็ว ๆ นี้เช่นกัน

เหตุการณ์ทั้งหมดชี้ชัดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงจะมีสัดส่วนหุ้นจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งล่าสุดดัชนี Hang Seng แก้ไขเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้าดัชนีใหม่ ให้หุ้น Dual-Class (หุ้นที่สิทธิ์โหวตไม่เท่ากัน) และหุ้น Secondary Listing (จดทะเบียนในฮ่องกงเป็นที่สำรอง) เข้ามาอยู่ในดัชนีได้ ซึ่งเป้าหมายชัดเจนคือ การดันให้บริษัทจีนตัวใหญ่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี Hang Seng ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดตัวดัชนีใหม่ชื่อ Hang Seng TECH คัดเลือกหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำเข้ามา ซึ่งก็หนีไม่พ้นบริษัทจีนตัวดัง ๆ เช่น Meituan Dianping, Xiaomi, Alibaba หรือ Tencent หวังดันมาแข่งกับดัชนี Nasdaq ฝั่งเทคสหรัฐฯ !!!

ในอนาคตอันใกล้เราจะเห็นบริษัทจีนขึ้นมามีบทบาทในระดับโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ จะทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ความขัดแย้งบานปลายไปมากกว่าเดิม และอาจเลยไปถึงการใช้กำลังทางทหารเข้าทำลายกันก็เป็นไปได้

BottomLiners

ถ้าชอบบทความนี้ฝากแชร์ให้เพื่อนของคุณได้อ่านด้วยนะครับ


ใครสนใจการลงทุนต่างประเทศ ทั้งหุ้น และกองทุนรวม อย่าลืมเข้ากลุ่ม ห้องคุยนักลงทุนต่างประเทศ: https://web.facebook.com/groups/274064530688518

iran-israel-war