เทียบกองทุนหุ้นเทคฯ ชื่อดัง เหมือนหรือต่างกันตรงไหนบ้าง
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักกองทุนหุ้นเทคฯ เชื่อว่าเกือบทุกคนคงจะมีกองทุนหุ้นเทคฯ อย่างน้อยสัก 1 กองในพอร์ตตัวเอง เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นตั้งแต่ตื่นนอน แม้กระทั่งตอนเราหลับ
นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่ระดับโลกก็ล้วนเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และยังเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักมากสุดในดัชนี MSCI ACWI ที่เป็นดัชนีหุ้นโลกอีกด้วย
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เราเห็นกองทุนหุ้นเทคฯ เพิ่มขึ้นเยอะจนบางคนก็ตัดสินใจเลือกซื้อไม่ถูก วันนี้เราเลยถือโอกาสหยิบกองทุนหุ้นเทคฯ ชื่อดังที่มีคนพูดถึงบ่อย ๆ มาเทียบให้ดูว่าเหมือนหรือต่างกันจุดไหนบ้าง ไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่กำลังมองหากองทุนช่วงต้นปีแบบนี้
โดยกองทุนที่เราจะนำมาเทียบให้ดู คือ กองทุน B-INNOTECH, KFGTECH-A, และ KT-WTAI-A

นโยบายลงทุน

  1. B-INNOTECH : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Fidelity Funds – Global Technology Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีโอกาสเติบโตสูง และได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี
  2. KFGTECH-A : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยเน้นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ด้วย
  3. KT-WTAI-A : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Allianz Global Artificial Intelligence เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในปัจจุบัน

ดัชนีชี้วัด

  1. B-INNOTECH : ดัชนี MSCI All Country World Information Technology
  2. KFGTECH-A : ดัชนี MSCI All Country World Information Technology
  3. KT-WTAI-A : ดัชนี MSCI AC World (ACWI) 50% และ MSCI World Information Technology 50%

สัดส่วนการลงทุนใน Industry Allocation

  1. B-INNOTECH : Information Technology 72.5% / Communication Services 10.5% / Consumer Discretionary 9.4% / Industrials 3.4% / Financials 2.2%
  2. KFGTECH-A : Software 49.6% / Internet 22.9% / Media & Entertainment 7.6% / Semiconductors 6.7% / Financial Services 4.8% / Industrials 4.8%
  3. KT-WTAI-A : Semicond. & Semicond. Equipm. 18.2% / Software 17.7% / Interactive Media & Services 12.3% / It Services 7.2% / Automobiles 6.3%

สัดส่วนการลงทุนในเเต่ละประเทศ

  1. B-INNOTECH : United States 71.3% / Germany 4.5% / Japan 4.3%
  2. KFGTECH-A : United States 72.2% / Singapore 7.8% / Canada 5.5%
  3. KT-WTAI-A : United States 90.8% / China 2.8% / Canada 2.6%

Top Holdings

  1. B-INNOTECH : Microsoft Corp 8.4% / Apple Inc 5.6% / Amazon.Com Inc 3.7% / Alphabet Inc 3.7% / Visa Inc 3.6%
  2. KFGTECH-A : Sea 7.8% / Atlassian 7.3% / ROBLOX 5.9% / HubSpot 5.8% / Shopify 5.5%
  3. KT-WTAI-A : Tesla Inc 6.3% / Zoominfo Technologies Inc-a 4.1% / Roku Inc 3.9% / Amazon.Com Inc 3.3% / Salesforce.Com Inc 3.2%
เมื่อเอากองทุนมาเทียบกันจะเห็นว่า ทั้ง 3 กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกองทุน KT-WTAI-A ที่มีสัดส่วนสูงถึง 90%
แม้จะเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคฯ เหมือนกัน แต่ทั้ง 3 กองทุนก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยกองทุน B-INNOTECH เน้นหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ มั่นคง เป็นบริษัทชื่อดังที่ทุกคนรู้จักแน่นอน, กองทุน KFGTECH-A เน้นหุ้นเทคฯ ที่เกี่ยวกับ Software ส่วนกองทุน KT-WTAI-A เน้นหุ้นเทคฯ ที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมีการกระจาย Sector ได้ดีสุดในบรรดา 3 กองทุนนี้
หากสนใจกองไหนก็สามารถไปอ่านรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ Fund Factsheet เพราะแต่ละกองทุนจะมีสไตล์การลงทุนและกลยุทธ์เลือกหุ้นที่ไม่เหมือนกัน
ข้อมูลจาก Fund Factsheet ณ วันที่ 31 ต.ค. 2564
BottomLiner

คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

iran-israel-war