KFGG-A vs. B-INNOTECH vs. K-USXNDQ-A จัดไว้ส่วนไหนของพอร์ตดี? มีแล้วซ้ำกันหรือไม่?

วันนี้ เด็กการเงิน ขอนำกองทุนมหาชน ขวัญใจของหลาย ๆ คน เรียกได้ว่าเป็นหุ้นเติบโตสูง เป็นหุ้นเทคฯ หุ้น Growth ที่กองทุนหลักได้พิสูจน์ฝีมือมาแล้วว่าทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีคำถามมาบ่อย ๆ ว่า กองทุนพวกนี้มีแล้วซ้ำกันหรือไม่ ควรจัดไว้ส่วนไหนของพอร์ต? 

ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจ Growth Sector หรือหุ้นกลุ่มเติบโตก่อน

หุ้นเติบโต คืออะไร?

หุ้นเติบโต หรือตามชื่อคือ หุ้น Growth มักจะเป็นบริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ ๆ ออกมา เพื่อสร้างยอดขายและผลกำไรสูงขึ้น ๆ  ต่างจากหุ้นคุณค่าหรือหุ้นที่เติบโตเต็มที่แล้วที่มีผลิตภัณฑ์ค่อนข้างเป็นที่รู้จักและยอดขายค่อนข้างนิ่ง

ส่วนใหญ่หุ้นที่ยังอยู่ใน Growth Phase จะมีรายได้ในอนาคตที่สูงและมาพร้อมกับความคาดหวัง ทำให้ P/E ปัจจุบันสูงและคนต้องยอมจ่ายราคาแพง (premium) เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของมัน อย่างไรก็ตามการเติบโตของกำไรอยู่บนความคาดหวังในอนาคตที่ไม่แน่นอน ดังนั้นถ้าหุ้นเติบโตทำผลงานได้ไม่ดีตามคาดหวังจะทำให้ถูกเทขายอย่างหนักได้ รวมถึงเวลาตลาดเกิดสภาวะที่ไม่น่าลงทุนหรือรอบเศรษฐกิจขาลง หุ้นเติบโตที่มี P/E สูงจะถูกเทขายก่อนหุ้นแบบอื่น (เพราะเงินที่ได้จากหุ้น growth จะอยู่ในอนาคตเป็นส่วนใหญ่) แต่สภาวะ risk-on นักลงทุนมักจะมองหาหุ้นเติบโตเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าหุ้นแบบคุณค่าหรือวัฏจักร

หลายคนเข้าใจว่าหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวที่เป็นตัวแทนของหุ้นเติบโต จริง ๆ แล้วหุ้นเติบโตนั้นสามารถอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) และกลุ่มบริการสื่อสาร (Communication Services) ด้วย ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะมองกลุ่มบริการสื่อสารเป็น Defensive sector (จะดีจะร้าย คนก็ต้องโทรศัพท์หากัน หรือใช้เน็ต) แต่ในปัจจุบันหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายตัวถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Communication Services ด้วย ดังนั้นการมองแบบ Sector เป็นเพียงการจำแนกคร่าว ๆ ว่ากลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตสูงตามเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งวันนี้เราขอแทนกลุ่ม Consumer Discretionary, IT และ Communication Services เป็นกลุ่มหุ้นเติบโต

มาดูตัวอย่างของหุ้นในแต่ละ Sector

ขอยกตัวอย่างการจัด Sector ของ MSCI ACWI Index และ NASDAQ-100 ว่าหุ้นแต่ละตัวถูกจัดอยู่ในกลุ่มใด

  • กลุ่มเทคโนโลยี (Information Technology) เช่น Apple, Microsoft, NVIDIA, Paypal, Adobe, Intel
  • กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) เช่น Amazon, Tesla, Booking.com
  • กลุ่มบริการสื่อสาร (Communication Services) เช่น Facebook, Alphabet, Netflix, Comcast, T-mobile

ทั้ง 3 กลุ่มนี้เรียกรวม ๆ กันได้ว่าหุ้นเทคโนโลยี แต่หุ้นที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Information Technology เลยจะเป็นหุ้น Big Tech เจ้าใหญ่ที่ทำ Hardware, Software ออกมาให้คนทั้งโลกได้ใช้ ส่วน Consumer Discretionary และ Communication Services ส่วนมากจะเป็น e-commerce platform หรือแอปพลิเคชันที่เป็นสื่อบันเทิงนั่นเอง

พอทุกคนเข้าใจ Concept และกลุ่มหุ้นเติบโตเเล้ว ทีนี้มาเจาะรายละเอียด เปรียบเทียบในแต่ละกองกันเลย

กองทุนหลักเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัดอะไร

กองทุน KFGG-A มีกองทุนหลักคือ Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund เทียบกับ MSCI ACWI Index เป็นการเทียบกับการลงทุนทั่วโลก ซึ่งดัชนี MSCI ACWI มีสัดส่วนในอเมริกาเกือบ 60% ตามด้วยญี่ปุ่นประมาณ 6% และจีนประมาณ 4% ทั้งนี้ก็มีสัดส่วนใน Growth Sector รวมแล้วประมาณ 44%

กองทุน B-INNOTECH มีกองทุนหลักคือ Fidelity Funds – Global Technology Fund เทียบกับ MSCI ACWI Information Technology Index เป็นการเทียบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก ซึ่งดัชนี MSCI ACWI Information Technology มีสัดส่วนในอเมริกากว่า 76% ตามด้วยไต้หวันประมาณ 6% และญี่ปุ่นประมาณ 4% ทั้งนี้ก็มีสัดส่วนในทุกธุรกิจของกลุ่ม IT ไม่ว่าจะเป็น Hardware, Software, Semiconductor, Electronics, Internet & Infrastructure เป็นต้น

กองทุน K-USXNDQ-A ลงทุนใน Invesco ​QQQ Trust, Series 1 ซึ่งก็คือ NASDAQ-100 ETF ถือเป็นตัวแทนหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในอเมริกา 

ระดับความเสี่ยงของกองทุน

กองทุน KFGG ระดับ 6 จาก 8

กองทุน B-INNOTECH ระดับ 7 จาก 8

กองทุน K-USXNDQ-A ระดับ 6 จาก 8

กลยุทธ์ และสไตล์การลงทุน

(1) Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund (กองทุนหลักของ KFGG) ใช้วิธี pure bottom-up หรือคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยดูถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัท การที่บริษัทจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในระยะยาวได้ และมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยไม่ได้จำกัดว่าจะอยู่ในภูมิภาค sector หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ก็มีกลยุทธ์ High Conviction โดยเชื่อว่ามีหุ้นในตลาดเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่จะ contribute ผลตอบแทนให้กับพอร์ตลงทุนได้ จึงเป็นที่มาของการคัดเลือกหุ้นให้อยู่ในพอร์ตประมาณ 30-60 ตัวเท่านั้น เพื่อให้เห็นผลตอบแทนที่เด่นชัดในระยะยาว

(2) Fidelity Funds – Global Technology Fund (กองทุนหลักของ B-INNOTECH) เฟ้นหาการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยมีกลยุทธ์หลักออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1) Growth โดยดูว่าเป็นบริษัทที่นำเทคโนโลยีหรือมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เข้ามา Disrupt วงการได้หรือไม่ ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตได้อย่างรวดเร็ว 2) Cyclical เป็นหุ้นที่เติบโตตามวัฎจักรเศรษฐกิจ เป็นผู้นำตลาด เช่น บริษัทผู้ผลิตชิป 3) Special Situation ลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสเติบโต และยังมีราคาถูก

(3) Invesco ​QQQ Trust, Series 1 (กองทุนหลักของ K-USXNDQ-A) ถือเป็นตัวแทนหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในอเมริกาเพราะเป็นดัชนีหุ้น 100 บริษัทจดทะเบียนในตลาด NASDAQ เรียงตาม Market Cap Weight และมี Growth Sector รวมแล้วกว่า 85%

สัดส่วนการลงทุนใน Growth Sector และสัดส่วนการลงทุนในเเต่ละประเทศ

(1) Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund (กองทุนหลักของ KFGG) ข้อมูล ณ 31 Aug 2021

  • Consumer Discretionary 34.6%
  • Information Technology 28.9%
  • Communication Services 13%

รวมแล้วมี Growth Sector 76.5% (นอกจากนี้มี Health Care ประมาณ 20%)

และ 3 ประเทศแรกที่ลงทุนคือ สหรัฐฯ 55.2% จีน 19% เนเธอร์เเลนด์ 7.8%

(2) Fidelity Funds – Global Technology Fund (กองทุนหลักของ B-INNOTECH) ข้อมูล ณ 31 Aug 2021

  • Information Technology 73.8%
  • Communication Services 10.9%
  • Consumer Discretionary 8.3%

รวมแล้วมี Growth Sector 93%

และ 3 ประเทศแรกที่ลงทุนคือ สหรัฐฯ 72.1% เยอรมนี 4.6% เกาหลีใต้ 4.2% 

(3) Invesco ​QQQ Trust, Series 1 (กองทุนหลักของ K-USXNDQ-A) ข้อมูล ณ 30 Sep 2021

  • Information Technology 48.4%
  • Consumer Discretionary 17.3%
  • Communication Services 19.4%

รวมแล้วมี Growth Sector 85%

และประเทศหลัก ๆ ที่ลงทุนคือ สหรัฐฯ มากกว่า 95% จีน 2-3%

สรุป

KFGG-A vs. B-INNOTECH vs. K-USXNDQ-A จัดไว้ส่วนไหนของพอร์ตดี? มีแล้วซ้ำกันหรือไม่?

เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 3 กองพบว่า KFGG มีการลงทุนที่ค่อนข้างกระจาย Sector มากกว่าถ้าเทียบกับอีกสองกองในแง่ของ Universe และ Selection เพราะผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นโดยไม่ได้ยึดติดกับ Sector ใด ๆ อย่างไรก็ตามข้อควรระวังของ KFGG นั้นก็คือพอร์ตมีจำนวนหุ้นเพียง 40-50 ตัว เป็น High Conviction Portfolio ที่เลือกหุ้นจำนวนน้อยตัว และเน้นหุ้นเติบโต แต่ถ้าเลือกได้ถูกตัว ก็จะได้เห็นผลตอบแทนเเบบเด่นชัด แต่ถ้าไม่ถูกตัว หรือตลาดอยู่ในสภาวะที่กดดันราคาหุ้น growth ก็จะทำให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองที่กระจายตัวดีกว่า

ถ้าทุกคนยังจำไอเดียการจัดพอร์ต 60:20:20 เสี่ยงสูง ลงทุนระยะยาว ที่เคยเสนอไปแล้ว เด็กการเงินมองว่า KFGG เป็นกองทุนที่ค่อนข้างกระจายตัวใน sector ที่หลากหลายมากกว่า มีวัตถุประสงค์ของกองทุนไม่ได้เป็น sector focus แต่เป็น Global Equity Fund ที่มี universe ที่กว้างกว่า มากกว่า B-INNOTECH ที่ต้องเป็นหุ้นเทคฯ หรือ K-USXNDQ-A ที่ตามดัชนี NASDAQ-100 แม้ว่าจะมีกลยุทธ์ High Conviction ซึ่งกองนี้จัดอยู่ในกลุ่ม Developed Market (DM) หรือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โตได้เรื่อย ๆ ซึ่งสามารถจัดเป็นส่วนหลักของพอร์ตได้ รวมกับ DM ในกลุ่มอื่น ๆ รวมแล้วไม่เกิน 60%

อย่างไรก็ตาม KFGG มีจีนอยู่ประมาณ 20% สำหรับใครก็ตามที่ยังไม่แน่ใจในข่าวต่าง ๆ ของจีน ก็อย่าลืมพิจารณาสัดส่วนให้ละเอียดขึ้น เช่น ถ้าหากเลือก KFGG อยู่ในส่วนหลักพอร์ต 30% นั่นหมายความว่าจะมีจีนอยู่แล้วประมาณ 6% (คิดจาก 20%*30%) ดังนั้น เราควรจะเลือกกลุ่มประเทศ Emerging Market (EM) หรือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ได้อีกไม่เกิน 15% เท่านั้น

ในส่วนของ B-INNOTECH และ K-USXNDQ-A จะเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมากกว่า 70% มีจำนวนหุ้นมากกว่า KFGG แต่เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงการกระจุกตัวใน sector ใด sector หนึ่งมากกว่า จะเห็นว่า B-INNOTECH นี้มีความกระจุกตัวในกลุ่ม IT ซึ่งมีความเสี่ยงสูงระดับ 7 (จะมากกว่า KFGG และ  K-USXNDQ-A ที่มีระดับความเสี่ยง 6)

อย่างไรก็ตามถ้ามอง K-USXNDQ-A ลึก ๆ จะประกอบด้วยกลุ่มเทคฯ ค่อนข้างมากบางครั้งเราก็มองกองทุนนี้เป็นกลุ่ม Thematic ในกลุ่ม Technology ได้อยู่เหมือนกัน (แทนที่จะมองเป็น Developed Market เพียงอย่างเดียว)

เพิ่มเติม B-INNOTECH และ K-USXNDQ-A ถือว่าเป็นกองทุนเน้นหุ้นเทคโนโลยีทั้งคู่ มีความกระจุกตัว แน่นอนว่ามีหน้าหุ้นซ้ำกันบ้างและคาดว่าซ้ำกันเกิน 50% ในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนควรเลือกเพียงกองใดกองหนึ่ง ตามที่แต่ละคนชอบ โดยถ้าใครอยากเน้นหุ้นเทคฯในอเมริกา ก็เลือก K-USXNDQ-A แต่ถ้าใครเชื่อในฝีมือผู้จัดการกองทุนของกองหลัก B-INNOTECH ว่าจะสามารถเฟ้นหาหุ้นเทคฯที่จะมา disrupt วงการ หรือหุ้น Big Tech คุณภาพสูง และมีทีมผู้จัดการกองทุนช่วยเลือกหุ้นเทคฯ ได้ทั่วโลก ไม่จำกัดเเค่เพียงในอเมริกาก็เลือก B-INNOTECH ได้ โดยจะมีกองในกลุ่มนี้รวมกับ Thematic อื่น ๆ ไม่ควรเกิน 20% ของพอร์ต

สรุปอีกครั้ง ในความคิดของเราจัดพอร์ตสำหรับ 3 กองทุนนี้ได้อย่างไร?

  • KFGG-A เป็นกองหุ้นโลกในกลุ่ม DM
  • K-USXNDQ-A เป็นกองดัชนี NASDAQ100 ที่มีหุ้นกลุ่ม IT สูง จัดอยู่ในกลุ่ม DM หรือ Thematic กลุ่มเทคโนโลยี ก็ได้
  • B-INNOTECH เป็น Thematic กลุ่มเทคโนโลยี

คำแนะนำจากเด็กการเงิน

KFGG-A ค่อนข้างแตกต่างจาก K-USXNDQ-A และ B-INNOTECH

K-USXNDQ-A กับ B-INNOTECH มีความคล้ายกัน เนื่องจากมีกลุ่ม IT USA คล้ายกัน ซึ่งควรมีกองใดกองหนึ่งหรือมีรวมกันไม่เกิน 30% ของพอร์ต (หรือ 1 ใน 3 ของพอร์ต)

ช่วงนี้หุ้น Growth มีการปรับตัวลงจากหลายข่าวที่เข้ามารุมเร้า หลายคนคงมีคำถามว่าควรเข้าเลยไหม ซึ่งก็ตอบได้ยาก บางครั้งคิดว่าราคานี้ถูกแล้วก็อาจถูกได้อีก เพราะการที่หุ้นขึ้นหรือลงอาจจะมีปัจจัยที่ไม่ได้คาดคิดเพิ่มเข้ามากดดันตลาดได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีอะไรกระทบปัจจัยพื้นฐาน ความผันผวนของราคาเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้จริง ๆ อย่างไรก็ตามราคาสินทรัพย์ที่มีคุณภาพมักจะปรับตัวขึ้น ต้องให้เวลาให้มันได้ทำงาน 

ดังนั้นการจัดพอร์ตที่เหมาะสม มีกลยุทธ์ชัดเจน เช่น จัดพอร์ตตามความเสี่ยงและเป้าหมาย เข้าใจในสิ่งที่ลงทุน เลือกทยอยลงทุน เลือกซื้อเพิ่มเมื่อตลาดมีการปรับตัวลง (Buy-on-Dip) หรือเลือกมีวินัยทำตามแผนการ DCA อยู่เสมอ จะช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ระยะยาวผ่านช่วงผันผวนไปได้

เด็กการเงิน DekFinance

ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/DekFinance101/posts/266946775322793


คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

iran-israel-war