บทความที่แล้วเราทำความรู้จักองค์ประกอบของ ROE (Return on Equity) กันแล้วนะครับ ใครยังไม่ได้อ่าน คลิกที่นี่เลย

ในบทความนี้ เราจะเล่าถึงการเพิ่มหรือลดลงของ ROE ว่ามาจากอะไรได้บ้าง

ROE สามารถเพิ่มขึ้นได้ กรณีที่อัตราการเพิ่มของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น มากกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้น (เศษเพิ่มมากกว่าส่วน เพราะ ROE = กำไรสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น)

ROE จะคงที่ถ้าทั้งสองส่วนเพิ่มหรือลดในอัตราส่วนเดียวกัน และลดลงเมื่ออัตราการเพิ่มกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอัตราการเพิ่มของกำไรสะสม

ก่อนอื่นขออธิบายส่วนของผู้ถือหุ้นก่อนนะครับ

งบดุลของบริษัทประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ทรัพย์สิน หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งทรัพย์สิน = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น (แต่ส่วนนี้ขอพูดถึงในบทความถัดไปนะครับ)

ส่วนของผู้ถือหุ้นประกอบด้วย ทุนจดทะเบียน ส่วนเกินมูลค่าหุ้น และกำไรสะสม

ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทุนจดทะเบียน + ส่วนเกินมูลค่าหุ้น + กำไรสะสม

ตามปกติ ทุนจดทะเบียนและส่วนเกินมูลค่าหุ้นจะคงที่ (กรณีไม่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน) และกำไรสะสมจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากกำไรสุทธิหลังจากจ่ายปันผลแล้ว ทบเข้ามาในกำไรสะสมเดิม

กำไรสะสมงวดปัจจุบัน = กำไรสะสมงวดก่อน + กำไรสุทธิหลังจากจ่ายปันผลในงวดนี้

ดังนั้นถ้าบริษัททำกำไรได้ดี ส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้น และจะลดลงถ้าบริษัทขาดทุน

กำไรบริษัทจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่กับการจับกลุ่มลูกค้า ถ้าทำได้ถูกก็จะขายสินค้าเพิ่มได้เยอะ มีการบริหารต้นทุนได้ดี และมีการลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกิจการ การจะเลือกว่าควรลงทุนในบริษัทไหนนั้นเราควรถามตัวเองว่าเราลงทุนเพื่ออะไร เช่น เราลงทุนในบริษัทที่โตเร็วเพราะต้องการส่วนต่างกำไร (Capital Gain) หรือลงทุนในบริษัทที่ไม่เติบโตมากแต่กิจการแข็งแกร่งเพื่อรับปันผล  

ขอยกตัวอย่างการเพิ่มหรือลดของ ROE เป็นกรณีดังนี้นะครับ

กรณีที่ 1 กำไรเพิ่มขึ้น และจ่ายปันผลไม่มาก

กำไรสะสมจะเพิ่มขึ้น และกำไรก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เพราะมีการเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อ บริษัทแบบนี้ถ้าขยายธุรกิจแล้วรายได้เพิ่มกำไรเพิ่ม ROE ก็จะเพิ่ม (หรืออย่างน้อยก็คงที่ในระดับสูง) หุ้นแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโตที่น่าลงทุนซื้อเก็บไว้ตราบเท่าที่กำไรยังเติบโตดี

กรณีที่ 2 มีกำไรแล้วจ่ายปันผลหมด

อาจจะเพราะบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่อิ่มตัว หรือบริษัทเป็น Cash Cow ที่ธุรกิจเติบโตเต็มที่แล้ว ทำให้ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม กรณีนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นก็จะไม่เพิ่ม กำไรก็ไม่เพิ่มมากหรือคงที่ ส่งผลให้ ROE มีแนวโน้มคงที่ หุ้นแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นปันผล ที่คนซื้อไว้เพื่อรับปันผล

กรณีที่ 3 บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน หรือบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันลดลงเรื่อยๆ

กรณีนี้ ROE จะลดลง แม้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นจะลดลงแต่กำไรอาจจะลดลงเร็วกว่า กรณีนี้เราไม่ควรลงทุนด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนเราไม่สามารถตัดสินใจลงทุนได้จากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง เพราะ ROE ก็เป็นเพียงอัตราส่วนตัวหนึ่งที่ใช้ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นอัตราส่วนที่ค่อนข้างสำคัญเพราะบอกถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรก็ตาม

ดังนั้น ผู้ลงทุนควรมีการศึกษาบริษัทที่จะลงทุนให้เข้าใจเป็นอย่างดี รวมทั้งศึกษาสิ่งที่จะมีผลกระทบกับบริษัท เช่น สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรม การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ และสินค้าทดแทน รวมถึงกฏระเบียบของรัฐ เพื่อประกอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ