หนังสือฮอตล่าสุด...เปิดเบื้องหลังทรัมป์

บทความ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2563

เมื่อได้เห็นกระแสหนังสือใหม่ล่าสุดที่มาแรงมากของ จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว

ผมเลยเปลี่ยนจากที่จะเขียนถึงตลาดเกิดใหม่ มาเจาะประเด็นลับของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐผ่านสายตาของโบลตัน

จากหนังสือความยาว 592 หน้า ซึ่งจะออกมา (ทว่าทางการสหรัฐกำลังพยายามให้ศาลยังยั้งการออกหนังสือเล่มนี้อยู่) ช่วงกลางสัปดาห์หน้าที่ชื่อว่า “The Room Where It Happened : A White House Memoir,” โดยบทความนี้จะขอเปิดเผยเรื่องที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับทรัมป์ 6 เรื่อง ผ่านหนังสือเล่มใหม่นี้

1. “ทรัมป์บอกกับ สี จิ้นผิง แบบตรง ๆ ว่าให้จีนช่วยซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อที่ว่าเขาจะได้มีโอกาสสูงขึ้นที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งหน้า เนื่องจากฐานเสียงหลักของเขาอยู่ในส่วนนี้” นี่คือสิ่งที่โบลตันเขียนอย่างชัดเจนในหนังสือเล่มนี้ โดยที่ในทางกลับกัน ทรัมป์จะไม่ใส่ใจในประเด็นของการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ ในเมืองซินเจียงของรัฐบาลจีน รวมถึงยังมีการพูดกันในทำนองว่าพรรคเดโมแครตเป็นผู้ที่อยากให้เกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับจีน

โดยที่ทรัมป์ได้กล่าวชมสีว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน ในขณะที่ทรัมป์ยังกล่าวกับผู้นำจีนว่าภายในสหรัฐเองตอนนี้ได้มีความพยายามที่จะแก้กฎหมายให้ประธานาธิบดีสหรัฐสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นานกว่า 2 วาระติดต่อกันเพื่อตัวเขาเอง ทั้งนี้สีเองก็โปรยยาหอมต่อทรัมป์เช่นกัน โดยมองว่าสหรัฐมีการเลือกตั้งมากจนเกินไปเนื่องจากจีนอยากให้ทรัมป์อยู่เป็นผู้นำต่อไปนาน ๆ

นอกจากนี้โบลตันค่อนข้างจะมองทรัมป์ว่านำเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัวมาผูกโยงกัน อาทิ นำข้อกล่าวหาในประเด็น 5G ต่อหัวเว่ยกับ ZTE ของทางการสหรัฐต่อจีนมาผูกกับเรื่องสงครามการค้า โดยที่หากจีนยอมผ่อนปรนในสงครามการค้า ทรัมป์ก็จะยอมเพลามือในประเด็น 5G เช่นกัน รวมถึงได้ให้ความเห็นว่าหากกระบวนการถอดถอนทรัมป์ที่ผ่านมาเปลี่ยนจากประเด็นยูเครนมาในประเด็นนี้ ผลลัพธ์ของการถอดถอนอาจไม่เป็นดังที่เราทราบกัน

2. โบลตันได้เขียนไว้ว่าทรัมป์มีการผูกความช่วยเหลือทางการเงินต่อรัฐบาลยูเครนให้เข้ากับเงื่อนไขที่จะสอบสวนลูกชายของโจ ไบเดน ตามข้อกล่าวหาในกระบวนการถอดถอนทรัมป์เมื่อปลายปีที่แล้วทว่าทางฝั่งทรัมป์ได้ตอกกลับทางโบลตันว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มาให้การต่อคณะกรรมการฯ ในกระบวนการถอดถอน แต่กลับเลือกที่นำมาเขียนเป็นหนังสือแทน โดยที่ทรัมป์เองมองยูเครนค่อนข้างในเชิงลบในลักษณะที่ว่ายูเครนเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้สหรัฐไม่สามารถจะเป็นมิตรกับรัสเซียได้โดยสมบูรณ์แบบ

3. ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียนั้น โบลตันได้เขียนไว้ว่าทรัมป์เองมีแนวโน้มที่จะญาติดีกับผู้นำที่ออกมาในแนวเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็น “ปูติน” “สี จิ้นผิง” หรือผู้นำตุรกีอย่าง “เรเซป ทายยิปเออร์โดกัน” เป็นพิเศษ

ซึ่งตรงนี้ผู้นำเหล่านี้ก็ใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้จากทรัมป์เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ โบลตันเล่าว่าช่วงเดือน พ.ค. 2019 ในการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับปูติน ด้านปูตินได้เปรียบเทียบบุคลิกของผู้นำฝ่ายค้านเวเนซูเอลา นายฮวน กุยดอร์ ที่สหรัฐหนุนหลังอยู่กับอดีตคู่ชิงพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐปี 2016 ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งเป็นกลยุทธ์แบบเหนือชั้นสไตล์รัสเซีย ที่จะเชิญชวนให้ทรัมป์หันมาสนับสนุนนิโคลัส มาดูโรแทน ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ ผู้นำตุรกีเรเซป ทายยิปเออร์โดกัน ได้เคยส่งจดหมายให้ทรัมป์เปรยว่าทางการสหรัฐได้ร้องเรียนว่าบริษัทตุรกีทำผิดกฎหมายด้วยการไปสนับสนุนทางการเงินต่ออิหร่าน โดยทรัมป์บอกว่าส่วนที่ไปร้องเรียนนั้นอยู่ภายใต้การทำงานของคนในพรรคเดโมแครตต้องรอจนมีการเปลี่ยนเป็นคนของเขาก่อนจึงแก้ไขเรื่องนี้ได้

4. โบลตันมีการแซวทรัมป์ว่า ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับความเป็นไปของโลกภายนอกค่อนข้างน้อย อาทิ ตอนทรัมป์คุยกับปูติน เขายังเข้าใจผิดคิดว่าฟินแลนด์เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย หนำซ้ำตอนคุยกับเทเรซา เมย์ อดีตผู้นำอังกฤษยังเข้าใจผิดคิดว่าอังกฤษไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ใด ๆ อยู่ในมือเลย

5. ด้านเกาหลีเหนือในมุมมองของโบลตัน ทรัมป์มองการประชุมซัมมิตระหว่างเขากับ “คิม จองอึน” ที่สิงคโปร์ เมื่อ ปีก่อนว่าเป็นเพียงการประชุมเชิงสัญลักษณ์และแถมมีการพูดทีเล่นทีจริงว่า ภารกิจสำคัญของ “ไมค์ ปอมปิโอ” รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่ไปเยือนเกาหลีเหนือคือการส่งซีดีเพลงของเอลตัน จอห์น “Rocket Man” ให้กับคิม

ท้ายสุด โบลตันได้ให้ความเห็นข่าวการสังหารของจามัล คาช็อคกี ที่ซาอุดีอาระเบีย เมื่อกว่าหนึ่งปีที่แล้วว่าเป็นเพียงข่าวที่สร้างขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็นจากกระแสข่าวที่ “อิแวงก้า ทรัมป์” ใช้อีเมลส่วนตัวในการทำงานของทางการ รวมถึงเขาจะใช้รัสเซียเป็นตัวกันชนแทนสหรัฐในภูมิภาคตะวันออกกลางมากกว่าใช้กำลังทหารของตนเองครับ

MacroView

ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/650507